การวิ่งคือกีฬาที่ต้องแข่งกับคนอื่นยังไม่พอ ยังต้องแข่งกับจิตใจของตัวเองด้วย
ในวันที่คุณล้มลงระหว่างแข่ง ขณะเหลือระยะอีกแค่ 400 เมตร และเห็นคู่แข่งวิ่งนำหน้าคุณ 11 คนอยู่ไกลๆ คุณจะถอดใจหรือไม่?นี่คือเรื่องราวของ ซีฟาน ฮัสซาน นักวิ่งเจ้าของ 2 เหรียญทอง, 1 เหรียญทองแดง ในศึกโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียวตัวแทนทีมชาติเนเธอร์แลนด์รายนี้พลิกนรกคว้าเหรียญทองมาได้อย่างไร?
ดินแดนนักวิ่งระยะไกล นักวิ่งแถบแอฟริกาตะวันออกคือสุดยอดและเป็นผู้ชนะทางสายเลือด พวกเขาแข็งแกร่งตั้งแต่ดีเอ็นเอ พันธุกรรม และความเป็นอยู่ ราวกับเกิดมาเพื่อวิ่งระยะไกล นั่นเป็นสาเหตุที่ทำไมไม่ว่าจะการแข่งขันวิ่งระยะไกลรายการไหนๆ กลุ่มชาวแอฟริกัน โดยเฉพาะชาว เอธิโอเปีย และ เคนยา มักจะกลายเป็นที่ 1 เสมอ
สำหรับ เอธิโอเปีย นั้น พวกเขามีพื้นที่ที่ถูกเรียกว่า “วิหารที่สูงที่สุดแห่งโลกนักวิ่ง” อยู่ในเมือง ซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 2,300 เมตร ที่นี่เป็นศูนย์รวมการสร้างนักวิ่งของประเทศเอธิโอเปีย และได้สร้างนักวิ่งระยะไกลในตำนานอย่าง อเบเบ บิกิลา ที่เคยคว้าเหรียญทองโอลิมปิกด้วยการวิ่งเท้าเปล่ามาแล้ว เหรียญทองของ อเบเบ สร้างวัฒนธรรมการวิ่งให้ชัดเจนมากขึ้น ชาวเอธิโอเปียเริ่มผูกพันกับการวิ่งระยะไกลตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากเรื่องของวัฒนธรรมแล้ว ชาวเอธิโอเปียยังถือว่ามีลักษณะทางกายภาพที่เหมาะกับการวิ่งระยะไกล พวกเขามีพลังปอดและกล้ามเนื้อในระดับที่สมดุลกันเป็นอย่างมาก สามารถวิ่งได้ในระยะไกลๆ โดยที่เกิดความอ่อนล้าน้อยกว่าและเหนื่อยน้อยกว่าคนจากประเทศอื่นๆ ซึ่งเรื่องดังกล่าว พล.ต.ต.ศุภวณัฎฐ์ อาริยะมงคล หัวหน้าผู้ฝึกสอนกรีฑาทีมชาติไทย เคยพูดกับทีมงาน เอาไว้ว่า
“เมื่อดูจากสรีระของนักกรีฑาระดับแนวหน้าของโลกเนี่ย เราจะเห็นว่านักกีฬาจากภูมิภาคแคริบเบียน อย่าง จาเมกา หรือแม้แต่นักกีฬาเชื้อสายแอฟริกันโดยทั่วไป พวกเขาจะมีมัดกล้ามเนื้อที่เยอะ แต่ประชากรของประเทศอย่าง เคนยา หรือ เอธิโอเปีย แล้วพวกเขาจะมีมัดกล้ามเนื้อที่น้อยกว่า”
“ยกตัวอย่างให้เห็นภาพอีกนิด คุณลองดูสัตว์นักล่าอย่างเสือดาว เสือชีตาห์ พวกนี้กล้ามเนื้อจะใหญ่ แข็งแรง สามารถวิ่งได้เร็ว แต่ไม่สามารถวิ่งด้วยความเร็วนั้นเป็นระยะเวลานานๆได้ ต่างจากพวกสัตว์ผู้ถูกล่าอย่าง ละมั่ง กวาง พวกนี้วิ่งเร็วสู้สัตว์นักล่าไม่ได้ แต่สามารถวิ่งด้วยความเร็วนั้นได้นานกว่า”
“ด้วยความแตกต่างที่กล่าวมา เราจะเห็นได้ว่า เหตุใดนักวิ่งจากฝั่งแคริบเบียน อย่าง ยูเซน โบลต์ ของจาเมกา ถึงเป็นเจ้าแห่งการวิ่งระยะสั้น ขณะที่นักวิ่งจากฟากแอฟริกาตะวันออกกลับทำได้ดีมากๆในการวิ่งระยะไกล นั่นก็เพราะว่าคนในแต่ละภูมิภาคของโลกมีลักษณะทางกายภาพที่เอื้อต่อบางสิ่งมากกว่า อย่างไรก็ตาม ก็มีเหมือนกันที่นักกีฬาซึ่งดูจะมีความเสียเปรียบทางกายภาพกลับสามารถทำผลงานได้ดี เพียงแต่กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นไม่บ่อยนักแค่นั้นเอง” หัวหน้าผู้ฝึกสอนกรีฑาทีมชาติไทย ผู้ได้ฉายาว่า “แฝดเล็ก” ว่าไว้เช่นนี้
แม้จะมีสรีระทางกายภาพที่ได้เปรียบและวัฒนธรรมการวิ่งที่เอธิโอเปียนั้นเข้มข้นระดับฝังอยู่ในเส้นเลือด อย่างไรก็ตาม ประเทศนี้ก็มักจะมีเหตุที่ทำให้นักวิ่งในประเทศประสบปัญหาจนไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้มากเท่าที่ควร นั่นคือปัญหาเรื่องการปฏิวัติในประเทศ สงครามกลางเมือง และสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ โซมาเลีย
ทั้งหมดนี้ทำให้ในช่วงยุค 1980s เอธิโอเปียเผชิญกับวิกฤตความอดอยากและขาดแคลนอาหาร โดยในช่วงปี 1983-1985 มีชาวเอธิโอเปียต้องเสียชีวิตกว่า 1 ล้านคน ปัญหาดังกล่าวต่อเนื่องสะสมมาทำให้หลายคนต้องอพยพออกจากประเทศบ้านเกิด ลี้ภัยไปยังประเทศต่างๆที่เจริญกว่าและมีโอกาสในชีวิตมากกว่า
กลุ่มผู้อพยพชาวเอธิโอเปียออกเดินทางไปตายดาบหน้า พวกเขาอาจจะไม่มีความรู้ ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านโลกยุคใหม่เหมือนกับคนท้องถิ่น แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่พวกเขายังมีติดตัวนั่นคือดีเอ็นเอของความเป็นนักวิ่งระยะไกลและวัฒนธรรมการวิ่งที่ติดฝังอยู่มาหลายชั่วอายุคน พวกเขานำสิ่งเหล่านั้นติดตัวไปด้วยเสมอ
ต่อให้จะมีการปฏิวัติ เปลี่ยนระบอบการปกครอง หรือเหตุการณ์อะไรก็ตาม เมื่อวันใหม่เริ่มขึ้น นักวิ่งในประเทศจะออกมาวิ่งอีกครั้งเพื่อความฝันสู่ชีวิตที่ดีของพวกเขา
นักเขียนจากสื่ออังกฤษอย่าง เคยนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับการวิ่งระยะไกลของชาวเอธิโอเปียว่า “เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น จะเป็นของนักวิ่งเสมอ”
ซึ่งในความจริงไม่ใช่แค่ที่เท่านั้น ไม่ว่าชาวเอธิโอเปียจะไปที่ไหนก็ตาม พวกเขาสามารถใช้การวิ่งเป็นใบเบิกทางสำหรับชีวิตใหม่ของพวกเขาได้ เช่นเดียวกับ ซีฟาน ฮัสซาน นักวิ่งระยะไกลที่คว้ารางวัลเหรียญทองในโอลิมปิก โตเกียว 2020 ในฐานะตัวแทนทีมชาติเนเธอร์แลนด์
จากเอธิโอเปียสู่เนเธอร์แลนด์
ซีฟาน ฮัสซาน ออกจากเอธิโอเปียสู่เนเธอร์แลนด์ ตอนอายุ 15 ปี หรือราวๆปี 2008 ช่วงเวลานั้นเกิดเหตุหลายอย่างในประเทศ ทั้งการปะทะกันของรัฐบาลและประชาชนในประเทศเนื่องจากปัญหาปากท้อง การไล่เบี้ยเคลียร์ทางกันในสภาสำหรับขั้วอำนาจทางการเมืองแต่ละฝ่าย การโกงการเลือกตั้ง ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องออกมาจากประเทศเพื่อหาโอกาสใหม่ในชีวิต
“ฉันมีชีวิตที่ดีมากจนกระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไปตอนอายุ 14 ปี ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มันผ่านไปแล้ว ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องการเมือง และเหตุผลที่ฉันละทิ้งบ้านเกิดมา” เธอเปิดเผยผ่านสื่อหลังจากมีชื่อเสียง
แม้จะไม่บอกเหตุผลที่แน่ชัด แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือการอพยพไม่ได้การันตีว่าเธอจะมีความสุขแบบพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือทันที เพราะตอนแรกที่เธอย้ายเข้าไปอยู่ในศูนย์พักพิงเยาวชนที่เมืองซูดลาเรน เจ้าตัวเผยว่าเหมือนนรกบนดิน
“ที่นั่นฉันร้องไห้ทุกวัน ฉันโดนขังให้อยู่ในนั้นเหมือนกับอยู่ในคุก” เธอเล่าไว้เพียงเท่านี้ถึงอดีตที่ไม่อยากจดจำ
การเปลี่ยนแปลงมาเกิดขึ้นเมื่อเธอพยายามขอย้ายที่อยู่ โดยไปอาศัยอยู่กับอดีตผู้ลี้ภัยชาวเอธิโอเปียที่มีบ้านอยู่ในเนเธอร์แลนด์ การทำเรื่องย้ายถิ่นฐานต้องใช้เวลาพอสมควร แต่เธอก็ทำสำเร็จ ช่วงที่เธอออกมาอยู่ในบ้านเพื่อนผู้ลี้ภัย เธอได้เข้าฝึกอาชีพเป็นผู้ช่วยพยาบาล ก่อนจะได้รับสัญชาติดัตช์ในปี 2013
แต่ที่สุดแล้ว ความเป็นชาวเอธิโอเปียก็ยังคงอยู่ เธอเชื่อว่าการวิ่งที่เป็นเหมือนพลังภายในของเธอต่างหากที่เป็นคำตอบสำหรับอนาคตที่แท้จริง เธอได้ปรึกษากับโฮสต์ของเธอ ก่อนที่จะได้เข้าร่วมชมรมกรีฑาท้องถิ่นของเมืองลีวาร์เดน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักวิ่งอาชีพของเธออย่างแท้จริง
ความได้เปรียบทางพันธุกรรมและความมุ่งมั่นที่จะสร้างจุดเปลี่ยนให้กับชีวิตคือขุมพลังครั้งสำคัญที่เปลี่ยนให้ ฮัสซาน พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอไต่เต้าจากทีมระดับท้องถิ่นก้าวขึ้นมาเป็นตัวทีมชาติ ก่อนที่จะได้ไปแข่งขันในศึกชิงแชมป์โลกระยะ 1,500 เมตร ในปี 2015 ซึ่งครั้งนั้นเธอได้ที่ 3 ก่อนจะเข้าไปแข่งรอบสุดท้ายในโอลิมปิกที่่ ริโอ เดอ จาเนโร ในปีต่อมา ด้วยการจบในอันดับที่ 5
เธอรู้ดีว่าเธอจะต้องเก่งและเร็วกว่านี้ เธอพยายามถีบตัวเองอีกหนด้วยการเข้าร่วมทีมวิ่งที่ดีที่สุดทีมหนึ่งของสหรัฐอเมริกาอย่าง ทว่าปี 2019 เธอเจอปัญหาครั้งใหญ่ เมื่อ อัลแบร์โต้ ซาลาซาร์ โค้ชของเธอและ ถูกแบนตลอดชีวิตหลังถูกตัดสินให้มีความผิดโทษฐานให้นักกีฬาใช้สารกระตุ้น แม้เรื่องนี้จะเกิดขึ้นก่อนที่ ฮัสซาน จะเข้าทีม แต่เธอก็จำเป็นต้องหาโค้ชคนใหม่ และถูกตรวจสารกระตุ้นแบบเข้มข้น
ถึงกระนั้น ฮัสซาน ในเวอร์ชั่นที่ฝึกฝนที่อเมริกา เร็วขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นกอง เธอใช้เวลาในปี 2019 ปีเดียวกวาดแชมป์โลกหญิงในระยะ 1,500 เมตร และ 10,000 เมตร ในการแข่งขันที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์
ฮัสซาน เล่าว่า การเป็นแชมป์โลกมันยังไม่ใช่จุดสูงสุดที่เธอคาดหวังไว้ เธออยากไปให้ไกลกว่านั้นเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้โลกรู้ ทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจรอจนการแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มาถึง เธอได้ประกาศก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นไม่กี่วันว่า “ฉันจะลงชิงเหรียญทองทั้งหมด 3 รุ่น” และตั้งเป้าหมายว่าเธอจะเป็นผู้ชนะทั้งหมดด้วย
ฝันที่เกินตัวนี้ถูกเปิดหัว และเส้นทางแห่งชัยชนะก็เร้าใจจนกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการแข่งขันโอลิมปิกเพราะเหตุนี้
ชนะยังไงให้โลกจำ
ฮัสซาน ลงแข่งขันในระยะ 1,500 เมตร, 5,000 เมตร และ 10,000 เมตร นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย เพราะแต่ละระยะก็จำเป็นต้องใช้การซ้อมที่แตกต่างกันออกไป มีวิธีฝึกกล้ามเนื้อคนละอย่าง นอกจากนี้ การแข่งขันแต่ละรายการยังมีความกระชั้นมากในเรื่องของเวลา เมื่อเธอแข่งสนามนึงจบก็อาจจะได้พักแค่ไม่ถึง 8 ชั่วโมง จากนั้นรายการต่อไปก็จะเริ่มขึ้น นี่คือสิ่งที่ท้าทายขีดจำกัดของร่างกายเป็นอย่างมาก
“หลายคนบอกว่าฉันบ้า ก็ใช่ ฉันก็คิดแบบนั้น เรื่องนี้มันบ้าจริงๆ” ฮัสซาน กล่าว
เธอเล่าว่าการที่เธอตัดสินใจแข่งขันแบบท้าทายขีดจำกัด เกิดจากความพ่ายแพ้ในระยะ 1,500 เมตร รายการ ที่โมนาโกก่อนโอลิมปิกจะเริ่มไม่นาน เธอไม่แพ้ใครมานาน และการแพ้ให้กับนักวิ่งจากเคนยา อย่าง เฟธ คิปเยกอน ทำให้เธอตั้งใจว่าเธอจะเอาคืนแบบทบต้นทบดอกในโอลิมปิกครั้งนี้
“การแพ้ทำให้ฉันแทบคลั่ง ฉันทำได้ทุกอย่างเพื่อระบายอารมณ์ในวันที่ฉันเป็นผู้แพ้ แน่นอนว่ามันก็ต้องมีความกลัวกันบ้างสำหรับการเลือกลงแข่งขัน 3 รายการในทัวร์นาเมนต์เดียว แต่มันก็ช่วยไม่ได้ การแพ้ที่โมนาโกทำให้ฉันพูดกับโค้ชของฉันเลยว่า -ฉันไม่สนว่าอะไรจะเกิดขึ้น ยังไงก็ต้องลงแข่งขันทั้งหมดให้ได้-” ซึ่งแน่นอนว่าเธอได้ทำมันจริงๆ
เธอเข้าสู่รอบคัดเลือกในรายการ 1,500 เมตรในช่วงเช้า ก่อนจะต่อด้วยรายการ 5,000 เมตรรอบชิงเหรียญทองในอีก 10 ชั่วโมงต่อมา การแข่งในระยะเวลากระชั้นชิดทำให้เธอต้องวางแทคติกออมแรงเอาไว้ก่อนในรอบคัดเลือก วิ่งแค่ประคองตัวให้เข้ารอบเอาไว้ก่อน ไม่จำเป็นต้องเข้าที่หนึ่งก็ได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่นักกีฬาที่ต้องลงแข่งหลายรายการทำกัน
เธออุตส่าห์วางแผนมาดิบดีแต่คดีก็พลิกเสียได้ ในการแข่งขันระยะ 1,500 เมตร เธอออมแรงวิ่งตามหลังนักวิ่งของเคนยา ที่ชื่อว่า เอดินาห์ เจบิทอก เพื่อเตรียมเร่งเครื่องเมื่อเข้าสู่รอบสุดท้าย ทว่าอยู่ดีๆ เอดินาห์ ก็เสียหลักล้มลง และโชคไม่ดีที่ ฮัสซาน เบรกไม่ทันโดนเกี่ยวล้มลงไปด้วย เธอเสียเวลาจากการล้มครั้งนั้นอยู่หลายวินาที ทำให้ตามหลังผู้นำราว 20-30 เมตร
จากการล้มครั้งนี้ ฮัสซาน สามารถขอแข่งขันใหม่ในรอบคัดเลือกรอบต่อไปได้ เนื่องจากกติกาของกรีฑาโลก หรือ มีอยู่ว่าถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากนักวิ่งคนอื่นโดยที่เธอไม่ได้เกี่ยวข้องนั้น ฮัสซาน สามารถหยุดและลงแข่งขันแก้ตัวในฮีตต่อไปได้
แต่สิ่งที่ ฮัสซาน ทำคือเธอไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว ถ้าเริ่มรอบใหม่เธอจะต้องกลับไปเริ่มต้นตั้งแต่เมตรที่ 1 และจะเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น เธอจึงกัดฟันลุกขึ้นมาและแข่งต่อ จากนั้นความบันเทิงเต็มรูปแบบก็เริ่มขึ้น ฮัสซาน อัดสปีดเต็มพิกัด ค่อยๆแซงนักวิ่งที่นำหน้าเธอไปทีละคน ทีละคน จนเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก
หลังการแข่งขันดังกล่าว เธอยืนยันว่านอกจากเธอไม่อยากต้องไปแข่งใหม่เพราะเรื่องของแผนที่วางไว้ เธอยังไม่ชอบการคาราคาซังให้คนอื่นมาพาดพิงเธอว่า เธอเข้ารอบเพราะอาศัยข้อได้เปรียบจากกฎการแข่งขัน และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรจากเรื่องที่ควรจะกลายเป็นดราม่าก็กลายเป็นไวรัลชื่นชมเธอกันยกใหญ่บนโซเชียลมีเดีย
ด่านแรกผ่านไป ด่านที่ 2 ก็ตามมา เธอได้พักราว 10 ชั่วโมง เพื่อลงแข่งขันรายการ 5,000 เมตร รอบชิงเหรียญทอง เธอยอมรับว่าการผิดแผนทำให้เธอใช้พลังงานไปมากกว่าปกติ ความตื่นเต้นที่พุ่งสูงและอะดรีนาลีนที่พุ่งพล่านทำให้เธอรู้สึกเหมือนดื่มกาแฟไป 20 แก้ว
“การผิดแผนทำทุกอย่างรวนไปหมด อารมณ์ของฉันเตลิดพอดู พอมาถึงการแข่งช่วงเย็นฉันก็เหนื่อยมากกว่าที่คิด สิ่งเดียวที่ทำได้คือบอกตัวเองว่า -เอาหน่อยๆ จะให้จบแบบนี้ไม่ได้ ฉันมาที่นี่เพื่อเป็นผู้ชนะ ออกไปคว้ามันและทำให้มันจบเรื่องจบราวเสียเถอะ-” ฮัสซาน ย้อนความ ซึ่งเธอสามารถคว้าเหรียญทอง 5,000 เมตรได้จริงๆ ด้วยเวลา 14:36.79 นาที
หลังจากได้พัก ฮัสซาน กลับมาด้วยร่างกายที่สดชื่น เธอลงแข่งต่อในรอบรองชนะเลิศของรายการ 1,500 เมตร และเข้ารอบชิงชนะเลิศตามคาด ก่อนที่จะคว้าเหรียญทองในรายการ 10,000 เมตร ด้วยเวลา 29:55.32 นาที
อย่างไรก็ตาม ในการแข่งขันระยะ 1,500 เมตร รอบชิงเหรียญทอง ซึ่งมีขึ้น 1 วันก่อนการชิงเหรียญทองระยะ 10,000 เมตร เธอยังคงไม่สามารถเอาชนะคู่ปรับเดิมอย่าง เฟธ คิปเยกอน ได้ โดยจบการแข่งขันด้วยการคว้าเหรียญทองแดงเท่านั้น
แม้ผลจะลงเอยแบบไม่ใช่การกวาดเรียบทั้ง 3 เหรียญทองที่ลงแข่งตามที่ตั้งใจ แต่ ฮัสซาน ก็มองในอีกแง่มุมหนึ่งว่า การพ่ายแพ้ในการแข่งขันครั้งนี้ยังพอมีแง่บวกอยู่บ้าง เพราะมันทำให้เธออยากจะเอาชนะและสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่กว่านี้ในอนาคต สิ่งนั้นคือ เธออยากจะทำลายสถิติโลกทุกรายการที่ลงแข่ง
“ฉันเองก็อยากเข้าใจเหมือนกันว่าฉันจะกดดันตัวเองให้มากมายไปทำไป? แต่บางครั้งชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ ฉันมาจากจุดที่ไม่มีอะไรจะเสีย เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ฉันจึงคิดได้ว่า ถ้าจะลงมือทำอะไรก็ทุ่มไปทั้งตัว ไม่ต้องกั๊กอะไรเอาไว้อีกแล้ว”
“เมื่อชีวิตได้เจอกับความยากลำบาก จงอย่าได้กลัวไปเลย เพราะเมื่อวันนั้นมาถึง คุณจะได้เห็นการเป็นนักสู้ของตัวเองในแบบที่คุณไม่เคยคาดฝันมาก่อน จำไว้ ไม่มีชีวิตใครที่สมบูรณ์แบบที่สุดหรอก ดังนั้น อย่าไปยอมแพ้อะไรง่ายๆเลย” ฮัสซาน กล่าวหลังจบทัวร์นาเมนต์ด้วย 2 เหรียญทอง กับ 1 เหรียญทองแดง
เธอก้มมองเหรียญที่คอและกลั่นคำพูดสุดท้ายออกมาถึงเหตุผลที่เธอทำในสิ่งที่แตกต่างและพยายามทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ บางครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องของความสำเร็จอย่างเดียว มันคือปรัชญาของชีวิตที่แน่วแน่ ซึ่งเธอชอบที่จะเหนื่อยและลำบากเพื่อแลกกับการทำตามเสียงของหัวใจ
“ชีวิตนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเหรียญทอง ชัยชนะ ชื่อเสียง และเงินทองอะไรหรอก ทั้งหมดนี้มันเกี่ยวกับการทำตามหัวใจ ทำในสิ่งที่คุณอยากจะทำจริงๆ เท่านั้นเอง” ฮัสซาน กล่าวทิ้งท้าย
UFABETWIN