UFABETWIN

UFABETWIN หมดยุคฟุตบอลเพื่อแฟนบอล ? : เมื่อวิกฤติการเงินอาจนำไปสู่การยุติกฎ 50+1

หากคุณติดตามฟุตบอลอย่างจริงจังในช่วงที่ผ่านมา คงเคยได้ยินชื่อกฎ 50+1 กันมาบ้างแล้ว กับกติกาที่เป็นเอกลักษณ์ของวงการฟุตบอลเยอรมันที่บังคับให้สโมสรฟุตบอลต้องมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นแฟนบอลของทีม

กฎนี้มีบทบาทมากในช่วงการประท้วงการก่อตั้ง ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก ซึ่งกฎ 50+1 กลายเป็นสัญลักษณ์และข้อเรียกร้องของแฟนบอลในประเทศอังกฤษ ที่แสดงถึงความต้องการของแฟนบอลที่อยากจะเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดอีกครั้ง

ขณะที่กฎนี้ตอบโจทย์เชิงอุดมการณ์ ความจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะกฎ 50+1 กำลังเผชิญหน้ากับโอกาสที่จะถูกฆ่าตัดตอน หลังมีส่วนทำให้วงการลูกหนังเมืองเบียร์เจอกับปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ในปัจจุบัน
นี่

โควิด-19 เปลี่ยนทุกสิ่ง

เพื่อให้ทุกคนเข้าใจไปกับสิ่งที่เราจะเล่าในบทความนี้ จึงต้องแนะนำกฎ 50+1 ให้กับผู้อ่านที่ไม่ใช่แฟนของฟุตบอลเยอรมัน และอาจไม่ทราบถึงกฎสำคัญที่เป็นแกนกลางของวงการลูกหนังเมืองเบียร์

กฎ 50+1 คือกฎที่เป็นเอกลักษณ์ของฟุตบอลเยอรมัน อันเป็นกฎข้อบังคับที่กำหนดให้สโมสรฟุตบอลในเยอรมันต้องมีแฟนบอลถือหุ้นอย่างน้อย 51 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเป็นเครื่องรับประกันว่าสโมสรฟุตบอลจะเป็นของแฟนบอลไม่ใช่ของนายทุน

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในช่วงปลายยุค 90s ทีมฟุตบอลเยอรมันใช้เงินเกินตัวกันหลายทีม สุดท้ายพอเกิดวิกฤตก็เกือบจะประสบปัญหาล้มละลายกันไปเป็นแถบ จนทำให้ต้องมีกฎนี้ขึ้นมาเพื่อควบคุมการใช้เงินของสโมสร ซึ่งการมีแฟนบอลถือหุ้นจะเป็นเครื่องรับประกันว่า สโมสรจะอยู่ต่อไปให้ได้โดยไม่ใช้เงินเกินตัวเด็ดขาด

เกือบทุกสโมสรในเยอรมันใช้กฎนี้ในการบริหารทีม ยกเว้นบางทีมที่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ เช่น ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน, เฟาเอฟแอล โวล์ฟสบวร์ก, ฮอฟเฟนไฮม์ เนื่องจากมีบริษัทหรือเจ้าของทีมให้การสนับสนุนสโมสรมายาวนานเกิน 20 ปี

เมื่อสโมสรส่วนใหญ่มีผู้ถือหุ้นหลักเป็นแฟนบอลโดยไม่มีนายทุนใหญ่หนุนหลัง ดังนั้นรายได้ของทีมจะมาจากสองส่วนใหญ่ ๆ หนึ่งคือรายได้จากสปอนเซอร์ สองคือรายได้จากตั๋วเข้าชมและการขายสินค้าที่ระลึก

ก่อนหน้านี้ทีมจากเยอรมันแทบไม่เคยเจอปัญหาด้านการเงิน เรียกได้ว่าบริหารดีที่สุดใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรปด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็น บาเยิร์น มิวนิค, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน, เอสเซ ไฟร์บวร์ก หรือ เอาส์บวร์ก ต่างบริหารทีมให้มีกำไรและไม่มีหนี้แม้แต่ยูโรเดียว

สโมสรฟุตบอลเยอรมันควรจะมั่นคงทางการเงินและแทบไม่ต้องเจอวิกฤตล้มละลายเหมือนหลายสโมสรในอังกฤษ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อเกิดการระบาดของไวรัส โควิด-19

การเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ทำให้ฟุตบอลต้องหยุดพักไปนาน กว่าจะกลับมาได้ก็ต้องเตะแบบไม่มีคนดู ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของสโมสรฟุตบอลในเยอรมันอย่างมหาศาล

ทั้งรายได้จากสปอนเซอร์ที่หายไป เมื่อการแข่งขันไม่เป็นไปตามปกติ รายได้จากตั๋วการแข่งขันไปจนถึงการขายสินค้าในวันที่มีแมตช์เดย์ ล้วนเป็นหมัดหนัก ๆ ที่ซัดการเงินของสโมสรในเยอรมันให้ล้มทั้งยืน

เพราะถึงทีมเหล่านี้จะไม่มีหนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ได้มีเงินถังไว้รอสนับสนุนยามฉุกเฉิน เมื่อรายรับตกฮวบสวนทางกับรายจ่ายที่ยังเท่าเดิม ภาวะหนี้สินของทีมฟุตบอลในเยอรมันก็เกิดขึ้นทันที

 

UFABETWIN

ก่อนฤดูกาล 2019-20 จะสิ้นสุดลง มีรายงานว่า 13 สโมสรจากบุนเดสลีกา และลีกา 2 อาจไม่มีเงินพอที่จะหมุนเวียนในสโมสร หากไม่มีการกลับมาแข่งขันอีกครั้งหลังการพักลีก ซึ่งสะท้อนภาพได้ดีว่าวิกฤตการระบาดของ โควิด-19 อัดทีมลูกหนังจากเมืองเบียร์ได้เจ็บปวดแค่ไหน

โชคดีที่เกมฟุตบอลกลับมาเตะกันอีกครั้ง แต่นั่นก็เป็นเพียงการขายผ้าเอาหน้ารอดชั่วคราวเท่านั้น

วิกฤตที่เลี่ยงไม่ได้

แม้ว่าบางสโมสรจะปรับตัวได้ด้วยการลดรายจ่าย นั่นคือซื้อนักเตะให้น้อยลงและเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นด้วยการขายนักเตะออกจากทีม แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่านี่ไม่ใช่วิถีทางที่ดีในระยะยาวของวงการลูกหนังเยอรมัน

หนึ่งในสโมสรที่ทำงานได้ดีที่สุดคือ บาเยิร์น มิวนิค ในขณะที่สโมสรทั่วโลกพร้อมใจขาดทุน ทัพเสือใต้ยังแสดงการบริหารทีมแบบขั้นเทพ ที่ยังหากำไรมาได้ในยุค โควิด-19

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาพอใจทั้งหมด เพราะต้องแลกมากับการพลาดนักเตะหลายราย และการที่ทีมยังคงเป็นทีมที่แข็งแกร่งเบอร์ 1 ของเยอรมันอยู่ได้ในตอนนี้ ก็เพราะว่าการบริหารทีมที่ดีมาอย่างยาวนาน

อย่างไรก็ตาม บาเยิร์น รู้ว่าพวกเขาคงกินบุญเก่าไปได้อีกไม่นาน ทำให้ผู้บริหารของทีมเสือใต้กลายเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ในวงการฟุตบอลเยอรมันที่คิดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปิดให้กลุ่มนายทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในวงการลูกหนังเมืองเบียร์ เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไป

“ผมคิดว่าทุกคนต้องยอมรับความจริงที่ว่า กฎ 50+1 ไม่ได้ช่วยหลายสโมสรในตอนนี้ มีหลายทีมที่ต้องการเงินก้อนโตมากกว่าทุกสิ่ง” แฮร์เบิร์ต ไฮเนอร์ ประธานคนปัจจุบันของ บาเยิร์น มิวนิค แสดงความกังวลต่อภาพรวมของลีกฟุตบอลอาชีพเยอรมัน

สิ่งที่ประธานบาเยิร์นพูดไม่ใช่เรื่องไกลตัว ในตลาดซื้อขายฤดูกาล 2020-21 มี 9 สโมสร หรือครึ่งหนึ่งในบุนเดสลีกาที่ขายนักเตะให้ได้เงินมากกว่าการจ่ายเพื่อซื้อนักเตะ และผู้เล่นฝีเท้าดีก็ย้ายออกจากลีกกันไปหลายคนในปีนั้น เช่น ไค ฮาแวร์ตซ์, ติโม แวร์เนอร์, ธิอาโก้ อัลคันทาร่า เป็นต้น

ถัดมาในฤดูกาล 2021-22 ทุกอย่างยิ่งดูแย่ลงกว่าเดิม 12 ทีมในบุนเดสลีกาเลือกขายมากกว่าซื้อ สโมสรอย่าง ฮอฟเฟนไฮม์ และ โบคุ่ม ไม่ใช้เงินแม้แต่ยูโรเดียวในการเสริมทัพนักเตะ หรือทีมอย่าง โคโลญจน์ ก็ใช้เงินไปแค่ 550,000 ยูโรเท่านั้น ในการซื้อนักเตะ ซึ่งถือว่าบ้าคลั่งมาก ๆ กับการทำทีมฟุตบอลในลีกใหญ่ของยุโรป

ขณะที่สตาร์ที่เดินออกจากลีกก็มีมากกว่าปีที่แล้ว ทั้ง เจดอน ซานโช่, ดาวิด อลาบา, อิบราฮิม โคนาเต้, มัตธีอัส คุญญ่า, ลีออน ไบลีย์, เวาท์ เวกฮอร์สต์, ฮวัง ฮีชาน, เดนิส ซากาเรีย, โธมัส เดลานีย์ เป็นต้น

นอกจากนี้นักเตะหลายคนยังถูกปล่อยไปในราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็น เวาท์ เวกฮอร์สต์ กองหน้าตัวเก่งของ โวล์ฟส์บวร์ก ที่ราคาตามตลาดอยู่ที่ 20 ล้านยูโร แต่ถูกขายให้ เบิร์นลีย์ สโมสรจากอังกฤษไปแค่ 14 ล้านยูโร

รวมถึง เดนนิส ซากาเรีย กองกลางอนาคตไกลของ โบรุสเซีย เมินเช่นกลัดบัค ที่ราคาประเมินอยู่ที่ 27 ล้านยูโร แต่กลับถูกขายให้ ยูเวนตุส ในราคาแค่ 8.6 ล้านยูโร

“การระบาดของ โควิด-19 แสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนของบุนเดสลีกา สโมสรที่นี่อยู่ด้วยการพึ่งเงินจากสปอนเซอร์มากเกินไป” มาร์ติน ไคน์ อดีตประธานสโมสรฮันโนเวอร์ กล่าว

การขายนักเตะส่งผลต่อคุณภาพของทีมและลีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกฝ่ายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณภาพของบุนเดสลีกาฤดูกาลนี้ตกลงไปมาก เพราะแข้งฝีเท้าดียังคงออกจากลีกไปเรื่อย ๆ เพื่อการหาเงินมาพยุงสโมสร ซึ่งสักวันก็ต้องหมดลง

เพื่อไม่ให้บุนเดสลีกาเป็นลีกปั้นเพื่อขายแล้วส่งออก หรือที่เรียกกันว่า ไปมากกว่านี้ ในมุมมองของหลายคนเชื่อว่าถึงเวลาที่จะต้องยกเลิกกฎ 50+1 เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนเข้ามาช่วยอัดฉีดเงินทุนและทำให้ฟุตบอลเยอรมันกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

ทางเลือกที่ไม่ง่าย

ยิ่งการเงินของสโมสรในเยอรมันแย่เท่าไหร่ กระแสเรียกร้องให้ยกเลิกกฎ 50+1 ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แม้กระทั่งสโมสรที่ต่อต้านแบบสุดตัวอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยังปฏิเสธความจริงข้อนี้ไม่ได้

“โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไม่มีทางสนับสนุนการยกเลิกกฎ 50+1 แต่เมื่อยิ่งมีสโมสรเผชิญปัญหาการเงินมากเท่าไหร่ โอกาสของการยกเลิกยิ่งมีมากเท่านั้น” ฮานส์ โยอาคิม วัตซ์เก้ ของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ กล่าว

ขณะที่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยืนยันชัดเจนว่ายอมให้สโมสรผลงานไม่ดี ดีกว่าขายทีมตกเป็นของนายทุนต่างชาติ ทว่ากับบางทีมก็ไม่ได้มีทางเลือกแบบนั้น เช่น ชาลเก้ 04 ที่ผลงานแย่จนตกชั้นไปอยู่ในลีกา 2 แถมยังมีหนี้อีกประมาณ 200 ล้านยูโรรอให้ชำระ

ยังมีอีกหลายสโมสรที่กำลังพบกับปัญหาและบางทีมก็เริ่มเจอกับปัญหาการล้มละลาย ท่ามกลางวิกฤต โควิด-19 ทั้ง ไกเซอร์สเลาเทิร์น และ เตอร์กูชู มิวนิค ซึ่งเป็นสโมสรระดับลีก 3 ของเยอรมัน

ทีมระดับล่างหลายทีมร่วงไปแล้ว ขณะที่ทีมระดับบนอีกหลายทีมก็กำลังร่อแร่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวิธีที่จะหาเงินให้เร็วที่สุดและง่ายที่สุดคือการหานายทุนที่มีเงินก้อนโตมาเป็นเจ้าของสโมสร ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กระแสยกเลิกกฎ 50+1 จะหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ และมีสิทธิ์เกิดขึ้นจริงในเร็ววัน

“ผมไม่ปฏิเสธว่ากฎ 50+1 ทำให้บุนเดสลีกาสูญเสียรายได้ที่ควรจะได้รับ ถ้ามีการยกเลิกกฎ 50+1 จะมีนักลงทุนสนใจเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลในเยอรมันแน่นอน” คีแรน แมกไกวร์ อาจารย์ด้านการเงินในกีฬาฟุตบอล จากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล กล่าว

อย่างไรก็ตามหากการยกเลิกกฎ 50+1 เกิดขึ้นจริง ก็มีความเสี่ยงกับข้อเสียเช่นกัน นั่นคือมันอาจเป็นการเปิดโอกาสให้เศรษฐีที่ไม่จริงจังกับฟุตบอลเข้ามาเป็นเจ้าของทีมเพื่อแสวงหาผลกำไร ซึ่งอาจไม่พาทีมไปสู่ความสำเร็จในแบบที่หวังไว้ รวมถึงสามารถบริหารทีมให้ล้มเหลวจนติดหนี้ได้เหมือนกัน

“ในความเป็นจริงแล้วการเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลคือการเสียเงินมหาศาล และสร้างแต่ความเจ็บปวดให้กับเจ้าของทีม ทุกวันนี้เศรษฐีที่มีหน้ามีตาอยู่แล้วในสังคมไม่อยากจะเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลกันเท่าไหร่นักหรอก” คีแรน แมกไกว์ กล่าว

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการยกเลิกกฎ 50+1 ยังคงมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนจำนวนมากที่หวังตักตวงผลประโยชน์จากวงการฟุตบอล มากกว่าที่จะเข้ามาพัฒนาด้วยใจรักจริง ซึ่งมีภาพให้เห็นมามากมายจากทั่วทั้งโลก

UFABETWIN

นอกจากนี้ในความเป็นจริงแล้ว เยอรมันไม่ใช่ชาติจาก 5 ลีกใหญ่ที่ประสบวิกฤตทางการเงินมากที่สุด แต่เป็นรองเพียงอังกฤษ และสเปน โดยยังมีอิตาลีและฝรั่งเศสที่ได้รับผลกระทบมากกว่า ซึ่งทั้งสองลีกก็เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเป็นเจ้าของทีมกันได้อย่างเสรี แต่ก็ใช่ว่าจะแก้ไขปัญหาทางการเงินของธุรกิจสโมสรฟุตบอลได้

แม้เป็นการถอยหลังแต่ยังไม่จนตรอก ด้วยเหตุนี้ทาง หรือองค์กรดูแลการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพของเยอรมัน จึงยืนยันว่า จะไม่มีการยกเลิกกฎ 50+1 อย่างเด็ดขาดในตอนนี้ และจะกัดฟันหาวิธีอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป

“50+1 ยังคงเป็นส่วนสำคัญของวงการฟุตบอลเยอรมัน และเราจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อแสดงให้เห็นว่ากฎนี้สามารถคงอยู่ได้ แม้จะเจอความท้าทายเข้ามา” โอลิเวอร์ เลกิ ที่ปรึกษาด้านการเงินของหลายสโมสรในเยอรมันกล่าว

เพื่อให้กฎ 50+1 ยังคงอยู่ต่อไปได้ ปัจจุบันได้มีการหารือเพื่อหาวิธีที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับลีก ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันรอบเพลย์ออฟในการลุ้นแชมป์เพื่อเพิ่มความตื่นเต้น หรือการแข่งขันนอกประเทศซึ่งมี ซาอุดีอาระเบีย ชาติจากเอเชียตะวันออกกลางให้ความสนใจอยู่

ยืนยันว่าสิ่งที่ทำให้บุนเดสลีกาเป็นบุนเดสลีกาจนมาถึงทุกวันนี้ คือการมีกฎ 50+1 เป็นหัวใจของลีก อย่างไรก็ตามทุกฝ่ายจะพิจารณาทุกทางเลือกให้ดีที่สุด เพราะวงการฟุตบอลเยอรมันในปัจจุบันยืนอยู่ในจุดทางแยกสำคัญที่ไม่ว่าจะเลือกเดินไปทางไหน ก็จะเป็นการกำหนดอนาคตของวงการลูกหนังในประเทศนี้ไปอีกหลายสิบปี

กฎ 50+1 จึงเปรียบเสมือนสิ่งที่ยืนอยู่บนแก้วบาง ๆ ที่อาจจะแตกได้ทุกเมื่อ แต่ถ้ายืนอยู่ได้อย่างสมดุล บางทีมันก็จะสามารถไปต่อได้เช่นกัน

นี่คือเรื่องปกติในโลกฟุตบอลปัจจุบัน ท่ามกลางวงการลูกหนังที่เปลี่ยนเป็นธุรกิจเต็มตัวอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งลีกเยอรมันมีการบริหารการเงินที่ยอดเยี่ยม แต่เพียงแค่พริบตาเดียวก็มาเจอกับปัญหาที่ต้องแก้ไข

หากโชคเข้าข้างสถานการณ์การระบาด โควิด-19 สิ้นสุดจริง ๆ ในเร็ววัน วงการลูกหนังเมืองเบียร์ก็อาจสามารถเดินต่อไปในแนวทางที่พวกเขาภาคภูมิใจได้ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้นบางทีการยกเลิกกฎ 50+1 อาจเป็นทางออกสุดท้ายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป

UFABETWIN

UFABETWIN แมนฯซิตี้ จำเป็นต้องวางแผน จู๊ด เบลลิงแฮม เพื่อไปให้ถึงสถานที่สำคัญของแชมเปี้ยนส์ลีก กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

UFABETWIN

UFABETWIN ประเด็นพูดคุยก่อนเกม แชมเปียนส์ลีก ของแมนเชสเตอร์ซิตี้กับคู่แข่งกลุ่มจี โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

ในขณะที่ เออลิ่ง ฮาแลนด์ เป็นผู้นำใน แผนภูมิการทำประตูของ แชมป์เปี้ยน ลีก อย่างเป็นธรรมชาติ เทียบเท่ากับ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ และ โม ซาลา ศัตรูที่คุ้นเคย มีชื่อที่น่าประหลาดใจเพียงเป้าหมายเดียวในขณะที่แมนเชสเตอร์ซิตี้มุ่งหน้าสู่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในวันอังคาร ใน จู๊ด เบลลิงแฮม ผู้ทำประตูได้ในทุกเกมของกลุ่ม ดอร์ทมุนด์มีผู้เล่นที่ทำประตูได้มากเท่ากับ ฮาแลนด์ และผู้เล่นที่ฟอร์มยอดเยี่ยมในการไปฟุตบอลโลก

เบลลิงแฮมทำให้เอทิฮัดตกใจเมื่อเดือนที่แล้วด้วยประตูแรก และเน้นย้ำถึงความสามารถของเขาในฐานะผู้มีความสามารถรายใหญ่รายต่อไปในยุโรป ถ้าเขายังคงฟอร์มของเขาต่อไป สโมสรใหญ่หลายแห่ง ซึ่งอาจรวมถึงซิตี้ ก็คงต้องการเซ็นสัญญากับเขาในช่วงซัมเมอร์ แม้ว่าในทันทีทันใด หากซิตี้ต้องการผลการแข่งขันที่เป็นบวกกับดอร์ทมุนด์ พวกเขาจะต้องหาวิธีหยุดเบลลิงแฮมจากการให้คะแนน บางทีโดยการเบียดเบียนกองกลางเพื่อจำกัดผลกระทบของเขา หรือโดยการเพิ่มตัวเลือกกองกลางตัวรับอื่น ๆ เช่น อิลคาย กุนโดกัน เพื่อจำกัดความเสียหายที่ เบลลิงแฮม สามารถทำได้

ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในการป้องกัน
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แนะนำว่า อายเมอริค ลาปอร์ต อาจพยายามเล่นทุกเกมในนาทีนี้เนื่องจากเวลาเล่นเกมของเขาจัดการได้จากการกลับมาจากอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง ลาปอร์ต กำลังฝึกซ้อมในวันจันทร์ แต่อาจเป็นเพราะการพักผ่อนที่มีประโยชน์ในเยอรมนี เนื่องจาก นาธาน อาเก้ พร้อมที่จะกลับมาหลังจากที่เขาอยู่บนม้านั่งในช่วงสุดสัปดาห์ จอร์น สโตน เป็นตัวเลือกหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน

หลังจากตัดสินใจว่าจะจัดการลาปอร์ตอย่างไรให้ดีที่สุด กวาร์ดิโอล่าต้องตัดสินใจว่าใครเล่นเป็นฟูลแบ็ค เซร์คิโอ โกเมซถูกแบน ดังนั้นชูเอา คันเซโล่จึงน่าจะลงเล่น โดยปล่อยให้อาเก้เป็นตัวเลือกแบ็คซ้าย หรือไม่ก็มานูเอล อคันจิยืนแบ็คขวาให้กับสโมสรเก่าของเขา หรือสโตนส์อาจกลับมาเล่นในตำแหน่งแบ็คขวาในเกมเหย้า เมื่อเขาทำประตูได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อซิตี้หมดหวังที่จะได้อีควอไลเซอร์

กรีลิชหรือมาห์เรซ?
รู้สึกเหมือนกับว่า Jack Grealish และ Riyad Mahrez กำลังถูกคัดตัวให้เข้าร่วม 11 ตัวจริงที่ดอร์ทมุนด์ เมื่อพวกเขาได้รับเลือกเป็นปีกข้างใดข้างหนึ่งในเกมกับไบรท์ตัน ขณะที่ฟิล โฟเดนมองจากม้านั่งสำรอง ในแง่สมดุล กรีลิชเล่นได้ดีกว่ามาห์เรซเล็กน้อยในช่วงสุดสัปดาห์ แม้ว่ามาห์เรซจะถูกเปลี่ยนตัวก่อน ดังนั้นอาจจะสดกว่า เขามีประสบการณ์ในยุโรปมากกว่า และเคยสร้างความประทับใจให้กับดอร์ทมุนด์มาก่อน

กรีลิชไม่ได้เล่นดีที่สุดในเกมเหย้า และล้มเหลวในการทำประตูหรือแอสซิสต์ในช่วงสุดสัปดาห์ แต่การมีส่วนร่วมของเขาสำคัญกว่าสถิติพาดหัวข่าวเหล่านั้นเสมอ การมีใครสักคนคอยช่วยรักษาการครอบครองและนำผู้อื่นเข้าสู่การโจมตีอาจมีประโยชน์ในเกมที่คับขัน สมมติว่าโฟเดนเป็นตัวจริง เขาสามารถเล่นทางด้านขวาตรงข้ามกรีลิชหรือทางซ้ายตรงข้ามมาห์เรซ

สถานที่สำคัญในช่วงพรีซีซั่นในสถานที่ท่องเที่ยวของเมือง
ซิตี้และ กวาร์ดิโอล่า ให้ความสำคัญกับคุณสมบัติจากกลุ่มแชมเปี้ยนส์ลีกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในช่วงต้นฤดูกาล นั่นคือความสำเร็จเมื่อสองสัปดาห์ก่อนเมื่อเสมอในโคเปนเฮเกนควบคู่ไปกับดอร์ทมุนด์กับเซบีญ่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซิตี้สามารถไปถึงสถานที่สำคัญแห่งต่อไปของพวกเขา ซึ่งก็คือการขึ้นเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย

ซิตี้ รั้งจ่าฝูงของกลุ่มใน 5 ฤดูกาลหลัง และเหลืออีก 2 เกมให้ทำได้ 6 นัดติดต่อกัน ทำเช่นนั้นในวันอังคาร และนั่นทำให้ กวาร์ดิโอล่า เป็นเกม ‘ฟรี’ กับเซบีญ่า ท่ามกลางการแข่งขันอื่น ๆ มากมายระหว่างตอนนี้และฟุตบอลโลก นั่นอาจเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ถ้างานเสร็จสิ้นในเยอรมนีในสัปดาห์นี้

เดิมพันมากมายสำหรับดอร์ทมุนด์
ซิตี้รู้ดีว่าผลเสมอจะทำให้พวกเขาได้แต้มสูงสุดที่ดอร์ทมุนด์ เนื่องจากพวกเขายังคงนำเจ้าบ้านอยู่ 3 แต้มโดยเหลืออีกหนึ่งเกม หากทั้งสองฝ่ายจบด้วยคะแนน สถิติของเฮดทูเฮดจะเป็นตัวกำหนดว่าใครได้คะแนนสูงกว่า และซิตี้เอาชนะดอร์ทมุนด์ 2-1 ในเกมเหย้า อย่างไรก็ตาม ดอร์ทมุนด์ยังสามารถผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ ดังนั้นจะไม่พลิกกลับและปล่อยให้ซิตี้เดินขึ้นเป็นที่หนึ่ง

ชัยชนะจะทำให้ดอร์ทมุนด์ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย เช่นเดียวกับการเสมอกันหากโคเปนเฮเกนไม่สามารถเอาชนะเซบีญ่าได้ ดอร์ทมุนด์อาจแพ้และคืบหน้าหากโคเปนเฮเกนและเซบีญ่าเสมอกัน และถ้าดอร์ทมุนด์ชนะ 1-0 หรือสองประตู พวกเขาจะก้าวกระโดดให้ซิตี้ด้วยสถิติเฮดทูเฮดที่ดีกว่า นั่นจะหมายความว่าซิตี้ต้องทำให้ผลการแข่งขันในวันสุดท้ายของดอร์ทมุนด์ดีขึ้น แม้ว่าความพ่ายแพ้หนึ่งประตูที่ทำคะแนนได้สองหรือมากกว่าจะทำให้ซิตี้อยู่ในอันดับต้น ๆ

หากดอร์ทมุนด์ชนะ 2-1 และทั้งสองฝ่ายจบระดับกลุ่มด้วยคะแนน สถิติของเมืองกับเซบีญ่าและโคเปนเฮเกนจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับสถิติของดอร์ทมุนด์กับคู่ต่อสู้คนเดียวกัน อันดับแรกด้วยคะแนนที่ชนะ ผลต่างประตู และประตูที่ทำได้

UFABETWIN

แมนฯซิตี้ เตรียมซ้อมทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งรวมถึง จอห์น สโตนส์ และ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถรักษาตำแหน่งจ่าฝูงของกลุ่ม จี แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยแต้มที่โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในวันอังคารนี้

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่มีปัญหาอาการบาดเจ็บใหม่ใดๆ ก่อนเกมแชมเปียนส์ลีกของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ไปเยือนโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในสัปดาห์นี้

ซิตี้เอาชนะไบรท์ตัน 3-1 เมื่อวันเสาร์ โดยจอห์น สโตนส์กลับมาอยู่ในทีมในวันแข่งขันเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เกม เขาไม่ได้ลงสนามเนื่องจากไบรท์ตันขู่ว่าจะคัมแบ็กในครึ่งหลัง แต่การกลับมาของเขาหลังจากได้รับบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวายเป็นแรงกระตุ้นสำหรับเดอะบลูส์ และเขาอาจถูกนำกลับเข้าสู่ด้านข้างสำหรับเกมแชมเปียนส์ลีก ในสัปดาห์นี้ หลังจากทำประตูได้ ติดตั้งย้อนกลับ

อายเมริค ลาปอร์กต์ ที่พลาดช่วงส่วนใหญ่ของฤดูกาลด้วยการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ทำให้ซิตี้ตื่นตระหนกกับไบรท์ตัน เมื่อเขาเตะลูกในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ และดูไม่ค่อยสบายในช่วงนาทีสุดท้ายของเกม กวาร์ดิโอล่า กล่าวว่าเขาคาดว่า ลาปอร์ด จะฟื้นตัวและชาวสเปนเป็นส่วนหนึ่งของทีมฝึกซ้อมในเช้าวันจันทร์ก่อนที่ ซิตี้ จะบินไปเยอรมนีในภายหลัง

นอกจากนี้ คาลวิน ฟิลลิปส์ยังฝึกซ้อมด้วย ขณะที่เขาฟื้นตัวจากการผ่าตัดไหล่ นักเตะทีมชาติอังกฤษรายนี้ทำงานแยกจากกลุ่มหลักโดยมีโค้ชฟิตเนส และไม่น่าจะเดินทางไปดอร์ทมุนด์แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมในวันจันทร์ ไคล์ วอล์คเกอร์ เป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่หายไป เนื่องจากเขายังคงสงสัยในฟุตบอลโลก แม้ว่าเขาจะพูดถึงการมองโลกในแง่ดีในการฟื้นตัวทันเวลาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

เซร์คิโอ โกเมซ เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ฝึกซ้อมที่ ซิตี้ ฟุตบอล อคาเดมี แต่เขาจะไม่เดินทางไปดอร์ทมุนด์หลังจากใบแดงในเกมสุดท้ายที่โคเปนเฮเกน ซิตี้ดึงเกมนั้น โดยลงเล่น 60 นาทีกับ 10 คน และผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายจากผลเสมอของดอร์ทมุนด์กับเซบีญ่า

นาธาน อาเก้ ได้พักในวันเสาร์ที่พบกับไบรท์ตัน ดังนั้นสามารถเข้ามายืนแบ็คซ้ายได้ในกรณีที่โกเมซไม่อยู่ หรือไม่ก็ เจา คันเซโล่ อาจจะเล่นต่อในด้านนั้น โดยมานูเอล อาคันจิก็ดูแข็งแกร่งเพียงพอสำหรับแบ็คขวาอีกครั้งในช่วงสุดสัปดาห์ อีกทางหนึ่งคือสโตนส์สร้างความประทับใจให้กับแบ็คขวาในเกมเหย้าของทั้งสองทีมเมื่อเดือนที่แล้ว โดยทำประตูได้อย่างยอดเยี่ยมเพื่อยกระดับคะแนนหลังจากเปิดเกมของจู๊ด เบลลิงแฮม

เด็กหนุ่ม ริโก ลูอิส และ จอช วิลสัน-เอสบรันด์ ก็อยู่ในกลุ่มฝึกซ้อมและคาดว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่เดินทางไปเยอรมนี อเล็กซานเดอร์ โรเบิร์ตสัน ที่ยืนยันว่าเขาได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับซิตี้ ฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่อีกครั้ง แต่อาจไม่ได้เดินทางในวันจันทร์นี้

นักเตะซ้อมแมนซิตี้ก่อนโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

เอแดร์สัน, ออร์เตกา, คาร์สัน, อาคันจิ, สโตนส์, ดิอาส, โกเมซ, ลูอิส, อาเก้, วิลสัน-เอสบรันด์, ลาปอร์ต, คันเซโล, กุนโดกัน, เดอ บรอยน์, โฟเดน, พาลเมอร์, แบร์นาร์โด, โรดรี, โรเบิร์ตสัน, ฟิลลิปส์, กรีลิช, มาห์เรซ, ฮาแลนด์, อัลวาเรซ

UFABETWIN

UFABETWIN

UFABETWIN “ซีฟาน ฮัสซาน” : นักวิ่งที่ล้มลุกคลุกคลานแข่ง 3 รายการและคว้า 3 เหรียญในโอลิมปิก

การวิ่งคือกีฬาที่ต้องแข่งกับคนอื่นยังไม่พอ ยังต้องแข่งกับจิตใจของตัวเองด้วย

ในวันที่คุณล้มลงระหว่างแข่ง ขณะเหลือระยะอีกแค่ 400 เมตร และเห็นคู่แข่งวิ่งนำหน้าคุณ 11 คนอยู่ไกลๆ คุณจะถอดใจหรือไม่?นี่คือเรื่องราวของ ซีฟาน ฮัสซาน นักวิ่งเจ้าของ 2 เหรียญทอง, 1 เหรียญทองแดง ในศึกโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียวตัวแทนทีมชาติเนเธอร์แลนด์รายนี้พลิกนรกคว้าเหรียญทองมาได้อย่างไร?

ดินแดนนักวิ่งระยะไกล นักวิ่งแถบแอฟริกาตะวันออกคือสุดยอดและเป็นผู้ชนะทางสายเลือด พวกเขาแข็งแกร่งตั้งแต่ดีเอ็นเอ พันธุกรรม และความเป็นอยู่ ราวกับเกิดมาเพื่อวิ่งระยะไกล นั่นเป็นสาเหตุที่ทำไมไม่ว่าจะการแข่งขันวิ่งระยะไกลรายการไหนๆ กลุ่มชาวแอฟริกัน โดยเฉพาะชาว เอธิโอเปีย และ เคนยา มักจะกลายเป็นที่ 1 เสมอ

สำหรับ เอธิโอเปีย นั้น พวกเขามีพื้นที่ที่ถูกเรียกว่า “วิหารที่สูงที่สุดแห่งโลกนักวิ่ง” อยู่ในเมือง ซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 2,300 เมตร ที่นี่เป็นศูนย์รวมการสร้างนักวิ่งของประเทศเอธิโอเปีย และได้สร้างนักวิ่งระยะไกลในตำนานอย่าง อเบเบ บิกิลา ที่เคยคว้าเหรียญทองโอลิมปิกด้วยการวิ่งเท้าเปล่ามาแล้ว เหรียญทองของ อเบเบ สร้างวัฒนธรรมการวิ่งให้ชัดเจนมากขึ้น ชาวเอธิโอเปียเริ่มผูกพันกับการวิ่งระยะไกลตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากเรื่องของวัฒนธรรมแล้ว ชาวเอธิโอเปียยังถือว่ามีลักษณะทางกายภาพที่เหมาะกับการวิ่งระยะไกล พวกเขามีพลังปอดและกล้ามเนื้อในระดับที่สมดุลกันเป็นอย่างมาก สามารถวิ่งได้ในระยะไกลๆ โดยที่เกิดความอ่อนล้าน้อยกว่าและเหนื่อยน้อยกว่าคนจากประเทศอื่นๆ ซึ่งเรื่องดังกล่าว พล.ต.ต.ศุภวณัฎฐ์ อาริยะมงคล หัวหน้าผู้ฝึกสอนกรีฑาทีมชาติไทย เคยพูดกับทีมงาน เอาไว้ว่า

“เมื่อดูจากสรีระของนักกรีฑาระดับแนวหน้าของโลกเนี่ย เราจะเห็นว่านักกีฬาจากภูมิภาคแคริบเบียน อย่าง จาเมกา หรือแม้แต่นักกีฬาเชื้อสายแอฟริกันโดยทั่วไป พวกเขาจะมีมัดกล้ามเนื้อที่เยอะ แต่ประชากรของประเทศอย่าง เคนยา หรือ เอธิโอเปีย แล้วพวกเขาจะมีมัดกล้ามเนื้อที่น้อยกว่า”

“ยกตัวอย่างให้เห็นภาพอีกนิด คุณลองดูสัตว์นักล่าอย่างเสือดาว เสือชีตาห์ พวกนี้กล้ามเนื้อจะใหญ่ แข็งแรง สามารถวิ่งได้เร็ว แต่ไม่สามารถวิ่งด้วยความเร็วนั้นเป็นระยะเวลานานๆได้ ต่างจากพวกสัตว์ผู้ถูกล่าอย่าง ละมั่ง กวาง พวกนี้วิ่งเร็วสู้สัตว์นักล่าไม่ได้ แต่สามารถวิ่งด้วยความเร็วนั้นได้นานกว่า”

“ด้วยความแตกต่างที่กล่าวมา เราจะเห็นได้ว่า เหตุใดนักวิ่งจากฝั่งแคริบเบียน อย่าง ยูเซน โบลต์ ของจาเมกา ถึงเป็นเจ้าแห่งการวิ่งระยะสั้น ขณะที่นักวิ่งจากฟากแอฟริกาตะวันออกกลับทำได้ดีมากๆในการวิ่งระยะไกล นั่นก็เพราะว่าคนในแต่ละภูมิภาคของโลกมีลักษณะทางกายภาพที่เอื้อต่อบางสิ่งมากกว่า อย่างไรก็ตาม ก็มีเหมือนกันที่นักกีฬาซึ่งดูจะมีความเสียเปรียบทางกายภาพกลับสามารถทำผลงานได้ดี เพียงแต่กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นไม่บ่อยนักแค่นั้นเอง” หัวหน้าผู้ฝึกสอนกรีฑาทีมชาติไทย ผู้ได้ฉายาว่า “แฝดเล็ก” ว่าไว้เช่นนี้

แม้จะมีสรีระทางกายภาพที่ได้เปรียบและวัฒนธรรมการวิ่งที่เอธิโอเปียนั้นเข้มข้นระดับฝังอยู่ในเส้นเลือด อย่างไรก็ตาม ประเทศนี้ก็มักจะมีเหตุที่ทำให้นักวิ่งในประเทศประสบปัญหาจนไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้มากเท่าที่ควร นั่นคือปัญหาเรื่องการปฏิวัติในประเทศ สงครามกลางเมือง และสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ โซมาเลีย

ทั้งหมดนี้ทำให้ในช่วงยุค 1980s เอธิโอเปียเผชิญกับวิกฤตความอดอยากและขาดแคลนอาหาร โดยในช่วงปี 1983-1985 มีชาวเอธิโอเปียต้องเสียชีวิตกว่า 1 ล้านคน ปัญหาดังกล่าวต่อเนื่องสะสมมาทำให้หลายคนต้องอพยพออกจากประเทศบ้านเกิด ลี้ภัยไปยังประเทศต่างๆที่เจริญกว่าและมีโอกาสในชีวิตมากกว่า

กลุ่มผู้อพยพชาวเอธิโอเปียออกเดินทางไปตายดาบหน้า พวกเขาอาจจะไม่มีความรู้ ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านโลกยุคใหม่เหมือนกับคนท้องถิ่น แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่พวกเขายังมีติดตัวนั่นคือดีเอ็นเอของความเป็นนักวิ่งระยะไกลและวัฒนธรรมการวิ่งที่ติดฝังอยู่มาหลายชั่วอายุคน พวกเขานำสิ่งเหล่านั้นติดตัวไปด้วยเสมอ

ต่อให้จะมีการปฏิวัติ เปลี่ยนระบอบการปกครอง หรือเหตุการณ์อะไรก็ตาม เมื่อวันใหม่เริ่มขึ้น นักวิ่งในประเทศจะออกมาวิ่งอีกครั้งเพื่อความฝันสู่ชีวิตที่ดีของพวกเขา

นักเขียนจากสื่ออังกฤษอย่าง เคยนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับการวิ่งระยะไกลของชาวเอธิโอเปียว่า “เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น จะเป็นของนักวิ่งเสมอ”

ซึ่งในความจริงไม่ใช่แค่ที่เท่านั้น ไม่ว่าชาวเอธิโอเปียจะไปที่ไหนก็ตาม พวกเขาสามารถใช้การวิ่งเป็นใบเบิกทางสำหรับชีวิตใหม่ของพวกเขาได้ เช่นเดียวกับ ซีฟาน ฮัสซาน นักวิ่งระยะไกลที่คว้ารางวัลเหรียญทองในโอลิมปิก โตเกียว 2020 ในฐานะตัวแทนทีมชาติเนเธอร์แลนด์

จากเอธิโอเปียสู่เนเธอร์แลนด์

 

UFABETWIN

 

 

ซีฟาน ฮัสซาน ออกจากเอธิโอเปียสู่เนเธอร์แลนด์ ตอนอายุ 15 ปี หรือราวๆปี 2008 ช่วงเวลานั้นเกิดเหตุหลายอย่างในประเทศ ทั้งการปะทะกันของรัฐบาลและประชาชนในประเทศเนื่องจากปัญหาปากท้อง การไล่เบี้ยเคลียร์ทางกันในสภาสำหรับขั้วอำนาจทางการเมืองแต่ละฝ่าย การโกงการเลือกตั้ง ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องออกมาจากประเทศเพื่อหาโอกาสใหม่ในชีวิต

“ฉันมีชีวิตที่ดีมากจนกระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไปตอนอายุ 14 ปี ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มันผ่านไปแล้ว ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องการเมือง และเหตุผลที่ฉันละทิ้งบ้านเกิดมา” เธอเปิดเผยผ่านสื่อหลังจากมีชื่อเสียง

แม้จะไม่บอกเหตุผลที่แน่ชัด แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือการอพยพไม่ได้การันตีว่าเธอจะมีความสุขแบบพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือทันที เพราะตอนแรกที่เธอย้ายเข้าไปอยู่ในศูนย์พักพิงเยาวชนที่เมืองซูดลาเรน เจ้าตัวเผยว่าเหมือนนรกบนดิน

“ที่นั่นฉันร้องไห้ทุกวัน ฉันโดนขังให้อยู่ในนั้นเหมือนกับอยู่ในคุก” เธอเล่าไว้เพียงเท่านี้ถึงอดีตที่ไม่อยากจดจำ

การเปลี่ยนแปลงมาเกิดขึ้นเมื่อเธอพยายามขอย้ายที่อยู่ โดยไปอาศัยอยู่กับอดีตผู้ลี้ภัยชาวเอธิโอเปียที่มีบ้านอยู่ในเนเธอร์แลนด์ การทำเรื่องย้ายถิ่นฐานต้องใช้เวลาพอสมควร แต่เธอก็ทำสำเร็จ ช่วงที่เธอออกมาอยู่ในบ้านเพื่อนผู้ลี้ภัย เธอได้เข้าฝึกอาชีพเป็นผู้ช่วยพยาบาล ก่อนจะได้รับสัญชาติดัตช์ในปี 2013

แต่ที่สุดแล้ว ความเป็นชาวเอธิโอเปียก็ยังคงอยู่ เธอเชื่อว่าการวิ่งที่เป็นเหมือนพลังภายในของเธอต่างหากที่เป็นคำตอบสำหรับอนาคตที่แท้จริง เธอได้ปรึกษากับโฮสต์ของเธอ ก่อนที่จะได้เข้าร่วมชมรมกรีฑาท้องถิ่นของเมืองลีวาร์เดน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักวิ่งอาชีพของเธออย่างแท้จริง

ความได้เปรียบทางพันธุกรรมและความมุ่งมั่นที่จะสร้างจุดเปลี่ยนให้กับชีวิตคือขุมพลังครั้งสำคัญที่เปลี่ยนให้ ฮัสซาน พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอไต่เต้าจากทีมระดับท้องถิ่นก้าวขึ้นมาเป็นตัวทีมชาติ ก่อนที่จะได้ไปแข่งขันในศึกชิงแชมป์โลกระยะ 1,500 เมตร ในปี 2015 ซึ่งครั้งนั้นเธอได้ที่ 3 ก่อนจะเข้าไปแข่งรอบสุดท้ายในโอลิมปิกที่่ ริโอ เดอ จาเนโร ในปีต่อมา ด้วยการจบในอันดับที่ 5

เธอรู้ดีว่าเธอจะต้องเก่งและเร็วกว่านี้ เธอพยายามถีบตัวเองอีกหนด้วยการเข้าร่วมทีมวิ่งที่ดีที่สุดทีมหนึ่งของสหรัฐอเมริกาอย่าง ทว่าปี 2019 เธอเจอปัญหาครั้งใหญ่ เมื่อ อัลแบร์โต้ ซาลาซาร์ โค้ชของเธอและ  ถูกแบนตลอดชีวิตหลังถูกตัดสินให้มีความผิดโทษฐานให้นักกีฬาใช้สารกระตุ้น แม้เรื่องนี้จะเกิดขึ้นก่อนที่ ฮัสซาน จะเข้าทีม แต่เธอก็จำเป็นต้องหาโค้ชคนใหม่ และถูกตรวจสารกระตุ้นแบบเข้มข้น

ถึงกระนั้น ฮัสซาน ในเวอร์ชั่นที่ฝึกฝนที่อเมริกา เร็วขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นกอง เธอใช้เวลาในปี 2019 ปีเดียวกวาดแชมป์โลกหญิงในระยะ 1,500 เมตร และ 10,000 เมตร ในการแข่งขันที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์

ฮัสซาน เล่าว่า การเป็นแชมป์โลกมันยังไม่ใช่จุดสูงสุดที่เธอคาดหวังไว้ เธออยากไปให้ไกลกว่านั้นเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้โลกรู้ ทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจรอจนการแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มาถึง เธอได้ประกาศก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นไม่กี่วันว่า “ฉันจะลงชิงเหรียญทองทั้งหมด 3 รุ่น” และตั้งเป้าหมายว่าเธอจะเป็นผู้ชนะทั้งหมดด้วย

ฝันที่เกินตัวนี้ถูกเปิดหัว และเส้นทางแห่งชัยชนะก็เร้าใจจนกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการแข่งขันโอลิมปิกเพราะเหตุนี้

ชนะยังไงให้โลกจำ

ฮัสซาน ลงแข่งขันในระยะ 1,500 เมตร, 5,000 เมตร และ 10,000 เมตร นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย เพราะแต่ละระยะก็จำเป็นต้องใช้การซ้อมที่แตกต่างกันออกไป มีวิธีฝึกกล้ามเนื้อคนละอย่าง นอกจากนี้ การแข่งขันแต่ละรายการยังมีความกระชั้นมากในเรื่องของเวลา เมื่อเธอแข่งสนามนึงจบก็อาจจะได้พักแค่ไม่ถึง 8 ชั่วโมง จากนั้นรายการต่อไปก็จะเริ่มขึ้น นี่คือสิ่งที่ท้าทายขีดจำกัดของร่างกายเป็นอย่างมาก

“หลายคนบอกว่าฉันบ้า ก็ใช่ ฉันก็คิดแบบนั้น เรื่องนี้มันบ้าจริงๆ” ฮัสซาน กล่าว

 

UFABETWIN

 

 

เธอเล่าว่าการที่เธอตัดสินใจแข่งขันแบบท้าทายขีดจำกัด เกิดจากความพ่ายแพ้ในระยะ 1,500 เมตร รายการ ที่โมนาโกก่อนโอลิมปิกจะเริ่มไม่นาน เธอไม่แพ้ใครมานาน และการแพ้ให้กับนักวิ่งจากเคนยา อย่าง เฟธ คิปเยกอน ทำให้เธอตั้งใจว่าเธอจะเอาคืนแบบทบต้นทบดอกในโอลิมปิกครั้งนี้

“การแพ้ทำให้ฉันแทบคลั่ง ฉันทำได้ทุกอย่างเพื่อระบายอารมณ์ในวันที่ฉันเป็นผู้แพ้ แน่นอนว่ามันก็ต้องมีความกลัวกันบ้างสำหรับการเลือกลงแข่งขัน 3 รายการในทัวร์นาเมนต์เดียว แต่มันก็ช่วยไม่ได้ การแพ้ที่โมนาโกทำให้ฉันพูดกับโค้ชของฉันเลยว่า -ฉันไม่สนว่าอะไรจะเกิดขึ้น ยังไงก็ต้องลงแข่งขันทั้งหมดให้ได้-” ซึ่งแน่นอนว่าเธอได้ทำมันจริงๆ

เธอเข้าสู่รอบคัดเลือกในรายการ 1,500 เมตรในช่วงเช้า ก่อนจะต่อด้วยรายการ 5,000 เมตรรอบชิงเหรียญทองในอีก 10 ชั่วโมงต่อมา การแข่งในระยะเวลากระชั้นชิดทำให้เธอต้องวางแทคติกออมแรงเอาไว้ก่อนในรอบคัดเลือก วิ่งแค่ประคองตัวให้เข้ารอบเอาไว้ก่อน ไม่จำเป็นต้องเข้าที่หนึ่งก็ได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่นักกีฬาที่ต้องลงแข่งหลายรายการทำกัน

เธออุตส่าห์วางแผนมาดิบดีแต่คดีก็พลิกเสียได้ ในการแข่งขันระยะ 1,500 เมตร เธอออมแรงวิ่งตามหลังนักวิ่งของเคนยา ที่ชื่อว่า เอดินาห์ เจบิทอก เพื่อเตรียมเร่งเครื่องเมื่อเข้าสู่รอบสุดท้าย ทว่าอยู่ดีๆ เอดินาห์ ก็เสียหลักล้มลง และโชคไม่ดีที่ ฮัสซาน เบรกไม่ทันโดนเกี่ยวล้มลงไปด้วย เธอเสียเวลาจากการล้มครั้งนั้นอยู่หลายวินาที ทำให้ตามหลังผู้นำราว 20-30 เมตร

จากการล้มครั้งนี้ ฮัสซาน สามารถขอแข่งขันใหม่ในรอบคัดเลือกรอบต่อไปได้ เนื่องจากกติกาของกรีฑาโลก หรือ  มีอยู่ว่าถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากนักวิ่งคนอื่นโดยที่เธอไม่ได้เกี่ยวข้องนั้น ฮัสซาน สามารถหยุดและลงแข่งขันแก้ตัวในฮีตต่อไปได้

แต่สิ่งที่ ฮัสซาน ทำคือเธอไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว ถ้าเริ่มรอบใหม่เธอจะต้องกลับไปเริ่มต้นตั้งแต่เมตรที่ 1 และจะเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น เธอจึงกัดฟันลุกขึ้นมาและแข่งต่อ จากนั้นความบันเทิงเต็มรูปแบบก็เริ่มขึ้น ฮัสซาน อัดสปีดเต็มพิกัด ค่อยๆแซงนักวิ่งที่นำหน้าเธอไปทีละคน ทีละคน จนเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก

หลังการแข่งขันดังกล่าว เธอยืนยันว่านอกจากเธอไม่อยากต้องไปแข่งใหม่เพราะเรื่องของแผนที่วางไว้ เธอยังไม่ชอบการคาราคาซังให้คนอื่นมาพาดพิงเธอว่า เธอเข้ารอบเพราะอาศัยข้อได้เปรียบจากกฎการแข่งขัน และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรจากเรื่องที่ควรจะกลายเป็นดราม่าก็กลายเป็นไวรัลชื่นชมเธอกันยกใหญ่บนโซเชียลมีเดีย

ด่านแรกผ่านไป ด่านที่ 2 ก็ตามมา เธอได้พักราว 10 ชั่วโมง เพื่อลงแข่งขันรายการ 5,000 เมตร รอบชิงเหรียญทอง เธอยอมรับว่าการผิดแผนทำให้เธอใช้พลังงานไปมากกว่าปกติ ความตื่นเต้นที่พุ่งสูงและอะดรีนาลีนที่พุ่งพล่านทำให้เธอรู้สึกเหมือนดื่มกาแฟไป 20 แก้ว

“การผิดแผนทำทุกอย่างรวนไปหมด อารมณ์ของฉันเตลิดพอดู พอมาถึงการแข่งช่วงเย็นฉันก็เหนื่อยมากกว่าที่คิด สิ่งเดียวที่ทำได้คือบอกตัวเองว่า -เอาหน่อยๆ จะให้จบแบบนี้ไม่ได้ ฉันมาที่นี่เพื่อเป็นผู้ชนะ ออกไปคว้ามันและทำให้มันจบเรื่องจบราวเสียเถอะ-” ฮัสซาน ย้อนความ ซึ่งเธอสามารถคว้าเหรียญทอง 5,000 เมตรได้จริงๆ ด้วยเวลา 14:36.79 นาที

หลังจากได้พัก ฮัสซาน กลับมาด้วยร่างกายที่สดชื่น เธอลงแข่งต่อในรอบรองชนะเลิศของรายการ 1,500 เมตร และเข้ารอบชิงชนะเลิศตามคาด ก่อนที่จะคว้าเหรียญทองในรายการ 10,000 เมตร ด้วยเวลา 29:55.32 นาที

อย่างไรก็ตาม ในการแข่งขันระยะ 1,500 เมตร รอบชิงเหรียญทอง ซึ่งมีขึ้น 1 วันก่อนการชิงเหรียญทองระยะ 10,000 เมตร เธอยังคงไม่สามารถเอาชนะคู่ปรับเดิมอย่าง เฟธ คิปเยกอน ได้ โดยจบการแข่งขันด้วยการคว้าเหรียญทองแดงเท่านั้น

แม้ผลจะลงเอยแบบไม่ใช่การกวาดเรียบทั้ง 3 เหรียญทองที่ลงแข่งตามที่ตั้งใจ แต่ ฮัสซาน ก็มองในอีกแง่มุมหนึ่งว่า การพ่ายแพ้ในการแข่งขันครั้งนี้ยังพอมีแง่บวกอยู่บ้าง เพราะมันทำให้เธออยากจะเอาชนะและสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่กว่านี้ในอนาคต สิ่งนั้นคือ เธออยากจะทำลายสถิติโลกทุกรายการที่ลงแข่ง

“ฉันเองก็อยากเข้าใจเหมือนกันว่าฉันจะกดดันตัวเองให้มากมายไปทำไป? แต่บางครั้งชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ ฉันมาจากจุดที่ไม่มีอะไรจะเสีย เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ฉันจึงคิดได้ว่า ถ้าจะลงมือทำอะไรก็ทุ่มไปทั้งตัว ไม่ต้องกั๊กอะไรเอาไว้อีกแล้ว”

“เมื่อชีวิตได้เจอกับความยากลำบาก จงอย่าได้กลัวไปเลย เพราะเมื่อวันนั้นมาถึง คุณจะได้เห็นการเป็นนักสู้ของตัวเองในแบบที่คุณไม่เคยคาดฝันมาก่อน จำไว้ ไม่มีชีวิตใครที่สมบูรณ์แบบที่สุดหรอก ดังนั้น อย่าไปยอมแพ้อะไรง่ายๆเลย” ฮัสซาน กล่าวหลังจบทัวร์นาเมนต์ด้วย 2 เหรียญทอง กับ 1 เหรียญทองแดง

เธอก้มมองเหรียญที่คอและกลั่นคำพูดสุดท้ายออกมาถึงเหตุผลที่เธอทำในสิ่งที่แตกต่างและพยายามทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ บางครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องของความสำเร็จอย่างเดียว มันคือปรัชญาของชีวิตที่แน่วแน่ ซึ่งเธอชอบที่จะเหนื่อยและลำบากเพื่อแลกกับการทำตามเสียงของหัวใจ

“ชีวิตนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเหรียญทอง ชัยชนะ ชื่อเสียง และเงินทองอะไรหรอก ทั้งหมดนี้มันเกี่ยวกับการทำตามหัวใจ ทำในสิ่งที่คุณอยากจะทำจริงๆ เท่านั้นเอง” ฮัสซาน กล่าวทิ้งท้าย

UFABETWIN