“ผมโดนถามถึงเรื่องนี้เยอะมากๆ มันเป็นหนึ่งในคำถามที่ผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบว่ายังไงดี ผมรัก สเกปอร์ส แต่ถ้าผมไม่รู้สึกว่าเรามีพัฒนาการที่ดีในฐานะทีม หรือไม่รู้สึกว่าเรากำลังเดินไปในทิศทางที่เหมาะสมแล้วล่ะก็ ผมก็ต้องบอกตามตรงว่าผมไม่ใช่คนที่จะยอมอยู่กับทีมต่อเพียงเพราะเรื่องเกียรติหรอก ผมเป็นนักเตะที่มีความทะเยอทะยาน”
นั่นคือสิ่งที่ แฮร์รี่ เคน กองหน้าคนเก่งของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เปิดใจกับ เจมี่ เร้ดแน็ปป์ อดีตดาวเตะชาวอังกฤษ หลังจากที่ผ่านมา เคน มักจะตกเป็นข่าวลือเรื่องการย้ายทีมอย่างหนัก ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากประสบความสำเร็จในรายการใหญ่ๆ กับเขาบ้าง
181 ประตู จากการลงเล่น 278 นัดในทุกรายการให้กับ สเปอร์ส ถือเป็นผลงานชั้นยอด และทำให้ เคน ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่เก่งที่สุดของยุคนี้ ซึ่งตามปกติแล้วนักเตะที่ถูกยกย่องแบบนี้ก็มักจะมีความสำเร็จติดไม้ติดมืออยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ เคน ก็ยังไม่เคยได้สัมผัสกับแชมป์รายการใหญ่ๆ เลย ไม่ว่าจะทั้งในระดับสโมสรที่เป็นรองแชมป์ พรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาล 2016-17, รองแชมป์ ลีก คัพ (คาราบาว คัพ ในปัจจุบัน) ในซีซั่น 2014-15, รองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาล 2018-19 รวมถึงกับทีมชาติอังกฤษที่ได้เพียงอันดับ 4 ในศึก ฟุตบอลโลก 2018 และอันดับ 3 ในศึก เนชั่นส์ ลีก ประจำซีซั่น 2018-19
ทั้งนี้ เคน ไม่ใช่นักเตะชื่อดังเพียงคนเดียวที่ได้รับการยกย่อง แต่กลับไม่เคยได้สัมผัสกับแชมป์รายการใหญ่ๆ ซึ่งแน่นอนว่า เคน คงไม่อยากให้ตัวเองเป็น “รุ่นน้อง” ของแข้งเหล่านั้น และวันนี้เราจะมายกตัวอย่างที่เด่นๆ สัก 5 คนกัน
– ลุยจิ ดิ เบียอาโจ้
กุนซือ สปาล คนปัจจุบัน เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ตัวรับชั้นยอด แม้ว่าจะไม่ได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ ลาซิโอ ที่เขาอยู่ด้วยตั้งแต่ในระดับอะคาเดมี่มากนัก แต่เขาก็เคยเป็นกำลังสำคัญของทั้ง อาแอส โรม่า และ อินเตอร์ มิลาน รวมถึงได้ลงเล่นให้ทีมชาติอิตาลีไป 31 เกม ในช่วงระหว่างปี 1998-2002
น่าเศร้าที่ชื่อเสียงและฝีเท้าของเขามันไม่สามารถเอาไปแลกเป็นความสำเร็จได้ ดิ เบียอาโจ้ เคยเป็นเพียงรองแชมป์กับ อินเตอร์ ถึง 2 รายการใหญ่ นั่นคือ กัลโช่ เซเรีย อา เมื่อฤดูกาล 2002-03 กับรองแชมป์ โคปปา อิตาเลีย ในฤดูกาล 1999-2000 รวมถึงยังอยู่ในทีมชาติอิตาลีชุดรองแชมป์ ยูโร 2000 ด้วย
ที่จริงกับ อินเตอร์ เขายังเคยเป็นรองแชมป์ อิตาเลียน ซูเปอร์คัพ ในปี 2000 ด้วย แต่จากการที่มันเป็นเกมที่เตะกันเพียงนัดเดียวจึงไม่ถูกมองว่าเป็นรายการระดับเมเจอร์ ครั้งเดียวที่ ดิ เบียอาโจ้ ได้สัมผัสกับถ้วยแชมป์คือ โคปปา อิตาเลีย เซเรีย ซี หรือเกมบอลถ้วยของลีกระดับล่างในแดนมะกะโรนี โดยเขาทำได้กับ มอนซ่า เมื่อฤดูกาล 1990-91 แน่นอน รายการนั้นก็ไม่เข้าข่ายรายการระดับ เมเจอร์ เช่นกัน
– แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์
ต่อให้จะผ่านไปอีกหลายสิบปี, ผ่านไปสัก 100 ปี หรืออาจจะถึงขั้นตลอดกาล มันก็อาจจะไม่มีใครที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นตำนานเบอร์ 1 ให้กับ เซาธ์แฮมป์ตัน ได้เหมือนกับ เลอ ทิสซิเอร์ อดีตแข้งวัย 51 ปีมีลีลาที่โดดเด่นอย่างมาก จนถึงขั้นได้รับฉายาว่า “เลอ ก็อด” ด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ สิ่งที่ทำให้แฟนบอล เซาธ์แฮมป์ตัน หลงรัก เลอ ทิสซิเอร์ ไม่ได้เป็นแค่เพราะฝีเท้าของเขา แต่เป็นเพราะความจงรักภักดีของเจ้าตัวด้วย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ เลอ ทิสซิเอร์ ก็ไม่ย้ายออกจากทัพ “นักบุญ” ทั้งที่เขาเคยมีข่าวกับทีมระดับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ แท้ๆ
ความภักดีที่ว่าแลกมากับการไร้ความสำเร็จในรายการใหญ่ๆ แชมป์เดียวที่ เลอ ทิสซิเอร์ ได้รับ คือแชมป์ เวสเซ็กซ์ ฟุตบอล ลีก หรือก็คือระดับนอกลีก โดยเขาได้แชมป์กับ อีสต์เลจห์ ในซีซั่น 2002-03 ซึ่งเป็นซีซั่นแรกที่เขาย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน มาอยู่กับ อีสต์เลจห์
– ยิลดราย บาสเติร์ก
ในช่วงพีคของเขานั้น บาสเติร์ก ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ตัวรุกชั้นยอด เขาแจ้งเกิดได้กับ เฟาเอฟแอล โบคุ่ม ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในช่วงซัมเมอร์ ปี 2001 และในซีซั่นแรกของเขากับทีมนั้น บาสเติร์ก ก็ทำให้ทัพ “ห้างขายยา” มีลุ้นทั้งแชมป์ บุนเดสลีกา, เดเอฟเบ-โพคาล และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
น่าเศร้าที่ตอนจบมันไม่แฮปปี้เอ็นดิ้ง ในฤดูกาล 2001-02 เลเวอร์คูเซ่น ของ บาสเติร์ก เป็นเพียงรองแชมป์ทั้ง 3 รายการที่ว่า ก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะได้ที่ 3 ในศึกฟุตบอลโลก 2002 กับทีมชาติตุรกี ในการตัดสินรางวัล บัลลง ดอร์ ประจำปี 2002 บาสเติร์ก ได้รับคะแนนมากสุดเป็นอันดับ 9 ก่อนจะได้อันดับ 3 กับทีมชาติตุรกีอีกครั้ง ในศึก ฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ 2003 แล้วจากนั้นเขาก็ฟอร์มแผ่วลงไป
– โซคราเตส
ในช่วงหนึ่ง โซคราเตส คือกองกลางตัวรุกที่คู่แข่งแทบทุกคนต้องหวาดกลัว เขามีเทคนิคที่ยอดเยี่ยม, ผ่านบอลได้แม่นยำ, มีพละกำลังทางร่างกายที่แข็งแกร่ง, เล่นได้ทั้ง 2 เท้า ฯลฯ เขาเคยทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกับทั้ง โบตาโฟโก้, โครินเธียนส์ และทีมชาติบราซิล รวมถึงเคยได้ย้ายมาเล่นในทวีปยุโรปกับ ฟิออเรนติน่า ด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นอัจฉริยะระดับนี้ แต่เขากลับไม่ได้แชมป์รายการระดับเมเจอร์เลย เขาเคยถูกตั้งความคาดหวังว่าจะพา บราซิล ได้แชมป์ ฟุตบอลโลก 1982 โดยที่เขาเป็นกัปตันทีมของทีมชุดนั้นด้วย แต่สุดท้าย “เซเลเซา” ก็จอดป้ายตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม (สมัยนั้นรอบแบ่งกลุ่มมี 3 ทีม โดย บราซิล อยู่ในกลุ่มเดียวกับ อิตาลี และ อาร์เจนตินา ซึ่ง อิตาลี เป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม ก่อนที่จะคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก ในปีนั้นไปครอง)
นอกจากนี้ โซคราเตส ยังเคยเป็นรองแชมป์ โกปา อเมริกา กับ บราซิล เมื่อปี 1983 ด้วย ถึงแม้เขาจะเคยได้แชมป์ในรายการฟุตบอลระดับรัฐของประเทศบราซิลที่ทำได้กับ โบตาโฟโก้, โครินเธียนส์ และ ฟลาเมงโก้ อยู่บ้าง แต่หลายคนก็มองว่ามันเป็นความสำเร็จที่น้อยเกินไปสำหรับนักเตะระดับเขา
– จูเซ็ปเป้ ซินญอรี่
หนึ่งในกองหน้าที่ได้รับการยกย่องอย่างมากของวงการฟุตบอลอิตาลี จนถึงตอนนี้ ซินญอรี่ ก็ยังครองอันดับ 9 ร่วมของชาร์ตดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ กัลโช่ เซเรีย อา ด้วยจำนวน 188 ประตู จากการลงเล่าน 344 นัด เท่ากับ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ และ อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่ โดยช่วงที่เขาฟอร์มพีคที่สุดคงไม่พ้นกับตอนเล่นให้ ลาซิโอิ ที่ทำได้ถึง 126 ประตู จากการลงเล่น 195 นัดในทุกรายการ ส่วนกับ โบโลญญ่า ซึ่งเป็นทีมสุดท้ายในอาชีพการเล่นของเขานั้น เจ้าตัวก็เล่นได้ดีในระดับหนึ่ง ด้วยการทำได้ 81 ประตู จากการลงสนามในทุกรายการ 174 เกม
ถึงกระนั้น แชมป์ที่ ซินญอรี่ เคยได้สัมผัส ก็มีแค่แชมป์ เซเรีบ บี กับ ฟอจจา เมื่อซีซั่น 1990-91 และ อินเตอร์ โตโต้ คัพ กับ โบโลญญ่า ในปี 1998 เท่านั้น ซึ่งในรายการหลังแม้ว่า ยูฟ่า จะพยายามโปรโมตอย่างเต็มที่ แต่มันก็ไม่เคยถูกแฟนบอลมองว่าเป็นรายการใหญ่เลย
นอกจากนี้ ซินญอรี่ ยังอยู่ในทีมชาติอิตาลิ ชุดรองแชมป์ ฟุตบอลโลก ปี 1994 ด้วย ในทางตรงกันข้าม ทั้ง เดล ปิเอโร่ และ จิลาร์ดิโน่ ที่ทำประตูใน เซเรีย อา ได้เท่าเขานั้น ต่างก็มีแชมป์ติดมือกันทั้งนั้น
อ่านเพิ่มเติม >>> https://www.ufabetwins.com/
คลิกเลย >>> https://webadox.com/