๊UFABETWINS

UFABETWINS สตีเว่น เจอร์ราร์ด : ด้วยรักและผูกพันในสีแดง

UFABETWINS สมัยเด็กๆ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ฝึกฝนตัวเองจากการเตะบอลหน้าบ้าน ตามท้องถนน ไอออนไซด์ ในย่านฮูย์ตัน

นักเตะที่เขาชื่นชอบคือ จอห์น บาร์นส์ แน่นอนล่ะ ในทุกๆ วัน เจอร์ราร์ด จะใช้เวลาหลายชั่วโมงพยายามที่จะเป็นเหมือนฮีโร่ของตัวเองให้ได้

ตอนนั้น เจอร์ราร์ด จัดว่าเป็นคนที่ชอบเลี้ยงบอล ตามสไตล์การเล่นของไอดอล

เขาชอบท้าดวลกับเด็กที่โตกว่าจากย่าน บลูเบล เอสเตต อยู่บ่อยๆ ซึ่งนั่นทำให้ เจอร์ราร์ด มีทักษะที่เก่งขึ้น และโดดเด่นกว่าใครๆ ในทีมฟุตบอลระดับเยาวชน

ซึ่ง ลิเวอร์พูล มองเห็นพรสรรค์ของเด็กคนนี้ แล้วจับเซ็นสัญญาตั้งแต่ตอนที่ เจอร์ราร์ด อายุ 9 ขวบ

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายการเลี้ยงบอลที่ตัวเองโปรดปรานต้องหลีกทางให้กับพรสวรรค์ที่แท้จริงที่มีในตัว คือ การผ่านบอลระยะไกล และเทคนิคการยิงอันยอดเยี่ยม

ถึงกระนั้น ด้วยการที่ เจอร์ราร์ด ตัวเล็กกว่าเด็กทั่วไป เขาโดนทีมเยาวชนระดับชาติมองข้าม

ตอนอายุ 14 ปี เขาถูกมองว่าไม่มีดีพอที่จะเล่นกับโรงเรียนสอนฟุตบอลของ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ที่ย่านลิลเลสฮอลล์ ต่างกับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ และ ไมเคิล โอเว่น ที่ถูกจับตามองจากโรงเรียนนี้

และกว่าที่ เจอร์ราร์ด จะตัวโตขึ้นเหมือนเด็กทั่วไปก็ต้องรอจนถึงช่วงอายุ 15-17 ปี

ในทางตรงกันข้าม ลิเวอร์พูล รู้ดีว่าพวกเขามีของดีอยู่ในมือ จากการที่เอา เจอร์ราร์ด มาร่วมทีมได้

สตีฟ ไฮจ์เวย์, เดฟ แชนนอน และ ฮิวจ์ แม็คออลี่ย์ โค้ชเยาวชนคือ ผู้ที่ช่วยฝึกสอนให้ เจอร์ราร์ด เป็นกองกลางชั้นยอดให้กับ อะคาเดมี่ของ ลิเวอร์พูล

เด็กชายเจอร์ราร์ด เคยเกือบเจอปัญหาใหญ่กับการเล่นฟุตบอล

ย้อนไปตอนอายุ 10 ขวบ ระหว่างที่เขาพยายามไปเก็บบอลในพงหญ้า เขาโดนคราดแทงเข้าที่นิ้วหัวแม่เท้า ตอนนั้นแพทย์มองว่าอาการมันหนักถึงขั้นอาจต้องตัดนิ้วเท้า
ทิ้ง แต่ ไฮจ์เวย์ ก็รีบพาหนูน้อย เจอร์ราร์ด ไปที่โรงพยาบาลเพื่อเกลี้ยกล่อมให้หน่วยงานทางการแพทย์เห็นพ้องว่ามันไม่จำเป็นถึงขั้นนั้น

สตีเว่น เจอร์ราร์ด : ด้วยรักและผูกพันในสีแดง

    แรงผลักดันของ เจอร์ราร์ด คือการได้เล่นให้ทีมรัก เขาเอาแรงบันดาลใจจากคนใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของ ลิเวอร์พูล นั่นคือ จอน-พอล จิลฮูลี่ย์ ลูกพี่ลูกน้องของเขา ซึ่งเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุดที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ฮิลส์โบโร่

ตอนที่ เจอร์ราร์ด ยังเป็นเด็กใน อะคาเดมี่ เขาเปิดใจว่า ความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จมันเพิ่มเป็นทวีคูณเมื่อได้เห็นพ่อและแม่ของ จอน-พอล

เกมแรกของ เจอร์ราร์ด กับ ลิเวอร์พูลชุดใหญ่ เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 1998 เชราร์ด อุลลิเย่ร์ มอบโอกาสให้ลงเล่นแทน เวการ์ด เฮ็กเก้ม เกมที่ “หงส์แดง” เอาชนะ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 2-0 ที่ แอนฟิลด์

ในวัย 18 ปี มันคือสิ่งที่เติมเต็มความฝันในวัยเด็ก ซึ่งจากเกมนั้นถือเป็นการนับหนึ่งบนถนนสายลูกหนังสู่การเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสร ลิเวอร์พูล

แม้ว่า เจอร์ราร์ด ได้รับการยกย่องว่าเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางที่ดีที่สุดในรุ่น แต่เขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่า การปรับตัว คือสิ่งที่สำคัญ

ตลอดอาชีพการเล่น เราเห็นทักษะอันหลากหลายของ เจอร์ราร์ด ความฉลาดด้านแท็กติก และให้ความสำคัญกับการพาทีมมีผลงานดีขึ้นมากกว่าผลประโยชน์ของตัวเอง

จากแบ็กขวาสู่กองกลางตัวรับจอมบู๊ เจอร์ราร์ด มีความโดดเด่นในด้านการเข้าสกัดแบบดุดันและทำเกมสวนกลับเร็วทันทีด้วยการผ่านบอลระยะไกล

อันที่จริง การเข้าสกัดแบบโผผางนี้เคยทำให้คนในสโมสรเป็นกังวลเหมือนกัน

ตอนอายุ 16 ปี บิลล์ บีสควิค นักกายภาพบำบัดของ ลิเวอร์พูล พยายามอย่างหนักเพื่อลดความก้าวร้าวและการพุ่งเข้าหาคู่แข่งของ เจอร์ราร์ด ให้เป็นการเข้าสกัดเหมือน
คนทั่วไป

ความรับผิดชอบบนพื้นที่แดนกลางของ เจอร์ราร์ด เพิ่มมากขึ้น ควบคู่ไปกับการเป็นหัวหน้าทีม

เจอร์ราร์ด เป็นศูนย์กลางบนแผงมิดฟิลด์ รับบทบาททุกอย่างไม่ว่าจะ บ็อกซ์-ทู-บ็อกซ์ ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล, ความก้าวร้าวในการเบรคเกมคู่แข่ง หรือการโจมตีที่อาศัย  การผ่านบอล

ทุกสิ่งที่กล่าวมา เจอร์ราร์ด ทำได้หมดจากข้อดีที่มีในตัว

ยกตัวอย่าง ในเกมเดียวที่เขาต้องเล่นถึง 4 ตำแหน่ง คือเกมนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2005

เจอร์ราร์ด เริ่มต้นด้วยการเป็นมิดฟิลด์ตัวต่ำ จากนั้นครึ่งหลังขยับขึ้นมาเล่นตัวรุกเพื่อซัพพอร์ต มิลาน บารอส โดยช่วงท้ายเกมเขาถูกถ่างไปทางกราบขวาแล้วสลับลงมาเล่นวิงแบ็คคอยช่วยเกมรับ

ฤดูกาลถัดมาหลังคว้าแชมป์ยุโรป 2005 ราฟา เบนิเตซ โดนรุมวิจารณ์อย่างหนักตอนที่เอา เจอร์ราร์ด มาเล่นเป็นปีกขวา ซึ่งตัว เจอร์ราร์ด เองก็ไม่พอใจเท่าไหร่ที่เป็นแบบนี้ แม้ว่าซีซั่นนั้นเขาจะทำได้ถึง 23 ประตูก็ตาม

สตีเว่น เจอร์ราร์ด : ด้วยรักและผูกพันในสีแดง

อย่างไรก็ตาม พอ เบนิเตซ ปลดแอกขีดจำกัดของ เจอร์ราร์ด ด้วยการดันขึ้นไปรับบทจอมทัพหมายเลข 10 เจอร์ราร์ด ก็ทะยานสู่ช่วงที่ดีที่สุดในอาชีพ โดยที่เงยหน้ามาเมื่อไหร่ จะมี เฟร์นานโด ตอร์เรส อยู่เสมอ

 “ผมใช้เวลาสองปีกับ เฟร์นานโด ซึ่งเขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเจ๋งสุดๆ” เจอร์ราร์ด กล่าวใน My Story หนังสือของตัวเอง

  “ผมรู้เสมอว่าเขาอยู่ตรงไหน และพื้นที่ตรงไหนที่เขาจะเคลื่อนที่ไป”

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่าง เจอร์ราร์ด และ ตอร์เรส ราวกับว่าทั้งคู่เขาขากันโดยสัญชาตญาณ แต่แท้จริงมันเกิดจากการซ้อมกันอย่างหนักที่ เมลวู้ด จนเกิดเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในสนาม

 “นักเตะที่เก่งๆ 2 คนมักจะเข้าใจกันและกันอยู่เสมอ เพราะพวกเขาจะมีสายสัมพันธ์ที่พิเศษ, รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร” เบนิเตซ กล่าวผ่าน Champions League Dreams หนังสือของเขาเอง

  “เจอร์ราร์ด กับ เฟร์นานโด ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน มันเห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาเข้าขากันสุดๆ”

ช่วงเวลานั้น ตอร์เรส และ เจอร์ราร์ด รับผิดชอบเรื่องเกมรุก ส่วนด้านหลังเป็นหน้าที่ของ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ และ ชาบี อลอนโซ่ คอยเก็บกวาด

เจอร์ราร์ด ตะบันไป 24 ประตู จาก 44 เกม พร้อมคั่วรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอลอังกฤษ(FWA)

ลิเวอร์พูล ที่พูดมา คือทีมที่ดีที่สุดที่สโมสรเคยมีในยุค พรีเมียร์ลีก พวกเขาแพ้แค่ 2 เกมในลีกฤดูกาล 2008/09 แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะคว้าแชมป์ได้

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในเกมที่ฝังในหัวใจของ เดอะ ค็อป คือ เกมที่ เจอร์ราร์ด-ตอร์เรส ร่วมกันพา ลิเวอร์พูล บุกถล่ม แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง โอลด์ แทรฟฟอร์ด 4-1

จริงอยู่ว่าไม่เคยมีคู่หูคนไหนที่ทำให้ เจอร์ราร์ด เล่นได้ดีเหมือนตอนร่วมงานกับ ตอร์เรส ทว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่ สตีวี่ ยกย่องให้เป็นเพื่อนร่วมที่ดีที่สุด แม้จะร่วมงานกันในช่วงที่ตัวเองอยู่ช่วงบั้นปลายอาชีพการเล่น

สตีเว่น เจอร์ราร์ด : ด้วยรักและผูกพันในสีแดง

 “ผมไม่คิดว่าจะมีใครอยากเผชิญหน้ากับ หลุยส์ ซัวเรซ ในสนามหรอก เขามีพรรสวรรค์ที่ดีและเป็นผู้เล่นที่อันตราย”

   “เขาเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ยอดเยี่ยม ซึ่งน่าจะเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดที่ผมเคยเล่นด้วย” 

   “เขาเป็นคนดี ตอนอยู่นอกสนามเขาก็เป็นคนที่รักครอบครัวมากๆ เราติดต่อกันอยู่เสมอ และให้กำลังใจกันและกันตลอดช่วงอาชีพการเล่นของเรา” เจอร์ราร์ด พูดถึง กองหน้า บาร์เซโลน่า คนปัจจุบัน

ลิเวอร์พูล ตอนยุค เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เจอร์ราร์ด ไม่มีพละกำลังพอที่จะวิ่งไปทั่วสนามเหมือนสมัยหนุ่มๆ เขาถอยไปเล่นมิดฟิลด์ตัวกลาง และนำเอาประสบการณ์บวกกับมุมมองการเล่นผสมกับการผ่านบอลที่ดีมาใช้ในเกมได้ดีจนทำให้เขาเป็นตัวปั้นเกมจากแดนลึกที่ดีมากๆ (deep-lying midfielder)

ในซีซั่น 2013/14 ลิเวอร์พูล เกือบได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครอง สาเหตุหลักมาจากผลงานของ ซัวเรซ ที่โดดเด่นชนิดหาตัวจับยาก ส่วน เจอร์ราร์ด ก็ทำได้ดีในบทบาทเพลย์เมคเกอร์ตัวต่ำ

แต่สิ่งที่ถูกจดจำไปตลอดกาลคือช็อตลื่นล้มในเกมกับ เชลซี ซึ่งมันส่งผลโดยตรงต่อการลุ้นแชมป์ในปีนั้น

 “มันมีผลกระทบกับผมมากๆ” เจอร์ราร์ด ยอมรับถึงเรื่องนั้นในภายหลัง

 “เป็นวันที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของผม และจนถึงทุกวันนี้มันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับผมในวันที่ผมตาย จังหวะนั้นก็จะเป็นสิ่งที่เจ็บช้ำมากที่สุดในชีวิตของผม เพราะมันลบจังหวะนั้นออกไปจากหัวได้ยาก มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสุดๆ”

อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่าความผิดหวังครั้งนั้นมันทำให้เขามีความมุ่งมั่นมากกว่าเดิมสำหรับการลงเล่นกับทีมต่อไป แต่มันก็ไม่มากพอที่จะทำให้เขาได้รับความไว้วางใจจาก ร็อดเจอร์ส กับสัญญาฉบับใหม่

  “สโมสรยื่นข้อเสนอสัญญาให้ผม แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่เกี่ยวกับฟอร์มการเล่นและตัวเลขต่างๆ อย่างเช่น ถ้าลงเล่นจำนวนเท่านี้ก็จะได้เงินเท่านั้น อะไรประมาณนี้ ซึ่งสำหรับผมแล้วมันดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ มันเป็นครั้งแรกเลยที่สัญญามีเงื่อนไขแบบนั้น”

   “ผมมีความคิดอยู่เสมอว่าจะยอมย้ายทีมในสภาพที่อย่างน้อยยังมีแฟนบอลต้องการคุณ​ ดีกว่าฝืนอยู่ต่อแล้วสุดท้ายต้องบอกลาทีมโดยที่ไม่มีใครต้องการอีกต่อไป​”

สตีเว่น เจอร์ราร์ด : ด้วยรักและผูกพันในสีแดง

ไม่มีแฟนบอล ลิเวอร์พูล คนไหนเลย คิดโกรธแค้น เจอร์ราร์ด พวกเขารู้ดีว่า เจอร์ราร์ด คือคนที่กระหายแชมป์ลีกมากกว่าใคร

คุณค่าที่เขาทำให้ทีมมาตลอด 17 ปี มันมีคุณค่ามากกว่าจังหวะแย่ๆ แค่จังหวะเดียว ต่อให้มันเป็นจังหวะตัดสินที่ทำให้ทีมอดได้แชมป์ก็ตาม

“เรื่องราวของผมยังไม่จบ มันยังไม่จบแน่ๆ สำหรับผมแล้วตัวเองอยากเป็นที่จดจำในฐานะเด็กท้องถิ่นที่ทำตามความฝันได้สำเร็จ และทุ่มเททุกอย่างที่มีเพื่อแฟนบอล”

ซึ่งซีซั่น 2014/15 คือฤดูกาลสุดท้ายของ เจอร์ราร์ด กับ ลิเวอร์พูล

เห็นชัดว่า ความมุ่งมั่นของ เจอร์ราร์ด มันไร้ข้อกังขา ส่วนเรื่องความภักดีของเขานั้นก็เคยโดนทดสอบเหมือนกัน

คาร์โล อันเชลล็อตติ สมัยคุม เอซี มิลาน เคยอยากได้ เจอร์ราร์ด ไปร่วมงานกับ อันเดรีย ปีร์โล่ เพราะประทับใจกับการที่กัปตันทีม ลิเวอร์พูล เล่นได้ดีจนทำให้ทีมของตัว
เองเล่นไม่ออก

“ผมพยายามที่จะคว้า สตีเว่น เจอร์ราร์ด จาก ลิเวอร์พูล แต่มันเป็นไปไม่ได้เลย” อันเช่ ตอบคำถามที่ว่านักเตะคนไหนที่อยากได้สุดๆ แต่ไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้

ส่วน โชเซ่ มูรินโญ่ ก็พยายามจะเซ็นสัญญากับ เจอร์ราร์ด ถึง 3 ครั้ง 3 ครา ทั้งตอนคุม เชลซี, อินเตอร์ มิลาน และ เรอัล มาดริด โดยที่ปี 2005 มูรินโญ่ ก็เกือบสมหวังอยู่
แล้ว เมื่อ เจอร์ราร์ด ยื่นเรื่องขอขึ้นบัญชีย้ายทีม

วันที่ 5 กรกฎาคม 2005 เจอร์ราร์ด ขอขึ้นบัญชีย้ายทีมกับสโมสรที่ตัวเลขอยู่มาตั้งแต่ 9 ขวบ ทั้งที่เพิ่งพูดประโยค “ผมจะไปจากที่นี่ได้ยังไงล่ะ” หลังจากได้แชมป์ยุโรป
สมัยที่ 5

   แฟนบอลลิเวอร์พูล ต่างโกรธแค้น เจอร์ราร์ด เอามากๆ บ้างเอาเสื้อมาเผา บ้างก็ด่าทอใส่ยามเห็นเขาออกจอทีวี

สาเหตุที่เขาทำแบบนั้น เพราะผิดหวังที่ ลิเวอร์พูล ไม่รีบยื่นสัญญาฉบับใหม่ให้ ทั้งที่ตัวเองเล่นได้ดีมากๆ ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมถึงไม่มั่นใจว่า ลิเวอร์พูล มีดีพอที่จะ
ลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในอนาคตหรือเปล่า หลังเพิ่งจบซีซั่นด้วยอันดับที่ 5

และพอถึงสิ้นเดือนมิถุนายน เชลซี ก็ยื่นข้อเสนอเข้ามา 32 ล้านปอนด์

แต่ท้ายที่สุด เจอร์ราร์ด มองไม่ออกเลยว่าตัวเขาจะมาเผชิญหน้ากับ ลิเวอร์พูล ทีมที่เป็นที่รักของตัวเองในสีเสื้อทีมอื่นได้ยังไง เขาจึงเปลี่ยนใจด้วยการต่อสัญญากับ ลิ
เวอร์พูล พร้อมรับค่าเหนื่อย 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

 “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตัดสินใจขั้นสุดท้ายซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”

   “9​ จาก​ 10​ คนอาจจะบอกว่าผมน่าจะทำเงินได้มากกว่านี้​ หรือผมน่าจะได้แชมป์มากกว่านี้​ หรืออะไรก็แล้วแต่”

   “แต่คนพวกนั้นไม่ใช่ผมสักหน่อย​ พวกเขาไม่ได้อยู่ในเมืองของผม​ และพวกเขาไม่ได้มีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเมืองของผม”

   “นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเป็นเพียงคนเดียวจาก​ 10​ คนที่ตัดสินใจ​แบบอื่น”

แม้ครั้งหนึ่งตอนเป็นเยาวชน เจอร์ราร์ด เคยไปทดสอบฝีเท้าที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่มันก็เป็นเพียงพยายามกระตุ้นให้ ลิเวอร์พูล รีบให้สัญญาเยาวชนแค่เท่านั้น

ต่อให้ตายแค่ไหน การย้ายไปอยู่ แมนฯ ยูไนเต็ด มันไม่มีทางเกิดขึ้นกับเขาแน่นอน

  “สตีวี่ เป็นผู้เล่นระดับโลกอย่างไม่ต้องสงสัย และผมก็หวังว่าเขาจะเล่นให้กับ ยูไนเต็ด” แกรี่ เนวิลล์ เขียนไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเอง

  “ที่จริงผมเคยแอบทาบทามเขาด้วยการตัดสินใจของตัวเองระหว่างทำศึก ยูโร 200 ด้วยซ้ำ ในตอนที่ผมรู้ว่า เชลซี กำลังพยายามที่จะฉวยโอกาสจากตอนที่ ลิเวอร์พูล
กำลังปั่นป่วนอยู่”

   “วันหนึ่งตอนที่เราอยู่ในโรงแรม ผมก็พูดกับเขาไปว่า -นายย้ายมาเล่นที่ ยูไนเต็ด ซะสิ แฟนๆ จะรักนายอย่างรวดเร็วแน่ๆ-“

   “ตอนนั้นเขาแค่หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า -เออ ฉันจะย้ายไปที่นั่นก็ได้ ถ้านายยอมย้ายมาเล่นที่ แอนฟิลด์ -” 

   เจอร์ราร์ด สมควรได้รับอะไรมากกว่าแค่ถ้วยรางวัล 9 รายการ เมื่อเทียบกับพรสวรรค์ที่เขามี แต่เขาก็ยังอยู่กับทีมต่อไป

  “ความพึงพอใจของการได้แชมป์แค่สมัยเดียวกับ ลิเวอร์พูล มันจะเหนือกว่าการได้แชมป์ 3 หรือ 4 สมัยที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่ว่ามันจะต้องรอนานแค่ไหนก็ตาม”  

   “สุดท้ายแล้ว สตีวี่ ก็ตระหนักถึงเรื่องนั้นดี” เจมี่ คาร์ราเกอร์ พูดถึง สตีวี่

เรื่องราวของ เจอร์ราร์ด กับ ลิเวอร์พูล เป็นหนึ่งในเรื่องที่จะถูกจารึกไปอีกนานแสนนาน

มันเป็นเรื่องที่เกิดจากสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างสโมสรกับแฟนๆ และทำให้เกิดช่วงเวลาที่ทำให้แฟนบอลประทับใจ

การทำประตูเป็นเพียงหนึ่งในทักษะอันยอดเยี่ยมของเขา มีไม่กี่คนหรอกที่จะทำประตูสวยงามและสำคัญได้เหมือนกับ เจอร์ราร์ด

ถึงช่วงเวลาที่ ลิเวอร์พูล ต้องการวีรบุรุษเพื่อกู้วิกฤติ เจอร์ราร์ด มักจะโผล่ขึ้นมาช่วยทีมได้อยู่เสมอ โดยไม่ต้องมีผ้าคลุมใดๆ

สตีเว่น เจอร์ราร์ด : ด้วยรักและผูกพันในสีแดง

    ประตูยิง โอลิมเปียกอส ในปี 2005 พา ลิเวอร์พูล ทะยานผ่านรอบแบ่งกลุ่ม แชมเปี้ยนส์ ลีก

ขึ้นโขกส่งบอลเข้าประตูพา ลิเวอร์พูล นับหนึ่งในเกมคัมแบ็ก ที่ อิสตันบูล

ลูกยิงสังหารในวัย 21 ปี เกมยูฟ่า คัพ นัดชิงฯ ปี 2001

ซัดระยะไกลใส่ เวสต์แฮม เมื่อปี 2006

และอีกหลายต่อหลายลูกที่ทำใส่ทีมคู่อริอย่าง เอฟเวอร์ตัน 10 ประตู , แมนฯ ยูไนเต็ด 9 ประตู

คำกล่าวที่หลายคนคิดว่าเป็นของ อริสโตเติ้ล แต่ที่จริงเป็นของ วิลล์ ดูแรนท์ นักเขียนคนหนึ่งที่ใช้ในการสรุปถึงงานของนักปรัชญาชาวกรีกในยุคโบราณ

“ตัวตนของเราคือสิ่งที่เราทำอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ ความยอดเยี่ยมจึงไม่ใช่การกระทำที่เกิดขึ้นแค่ครั้งใดครั้งหนึ่ง แต่เป็นกิจวัตรที่เกิดขึ้นเป็นประจำ”

ประโยคนี้เข้ากับผลงานของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในการเล่นกับ ลิเวอร์พูล อย่างสมบูรณ์แบบ

ช่วงเวลา 17 ปีที่ไม่มีใครลืม..

 

 

 

คลิกเลย >>>  ข่าวบอล

คลิกเลย >>>  https://webadox.com/